บอร์ดแข่งขันการค้าอนุมัติ “บางจาก” ซื้อหุ้น “เอสโซ่” 5.5 หมื่นล้านบาท แบบมีเงื่อนไข ย้ำไม่กระทบคู่สัญญาเดิมของเอสโซ่ “ชัยวัฒน์” ขอดูเงื่อนไขสัญญาก่อน พร้อมเดินหน้าตามแผน
แหล่งข่าวจากคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า เปิดเผยว่า ขณะนี้การพิจารณาการควบรวมกิจการระหว่างเอสโซ่และบางจากได้ข้อสรุปแล้ว วันนี้ (18 ก.ค.) จะมีหนังสือลงนามโดยประธานบอร์ดแข่งขันฯ ส่งไปให้บางจากหากไม่มีคำอุทธรณ์ใด ๆ ก็ให้ดำเนินการตามขั้นตอนต่อไปได้ทันที
“ผลการพิจารณาเป็นเชิงบวกแต่มีเงื่อนไข โดยรวมถือว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับธุรกิจที่จะควบรวมและภาพรวมธุรกิจที่ยังคงต้องมีการแข่งขันได้อย่างเป็นธรรมซึ่งเป็นประเด็นหลักที่ กขค.ให้ความสำคัญ รวมทั้งมีการพิจารณาว่าการควบรวมกิจการไม่มีผลเสียอย่างร้ายแรงต่อต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย โดยเฉพาะผู้บริโภคเพราะในการบริหารราคาน้ำมันยังมีภาครัฐเป็นผู้ดูแลผ่านกลไกต่างๆ”แหล่งข่าวระบุ
ทั้งนี้ การเห็นชอบให้ควบรวมกิจการได้พิจารณากำหนดเงื่อนไขให้ผู้ควบรวมกิจการต้องปฏิบัติตาม เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้ภายหลัง โดยบางจากต้องให้ความยุติธรรมกับคู่สัญญาเดิมของเอสโซ่ ซึ่งในประเด็นดังกล่าวจะคล้ายกับเงื่อนไขการควบรวมกิจการระหว่างซีพีและเทสโก้ โลตัส ที่กำหนดให้ซีพีคงสัญญาที่เทสโก้ โลตัส ทำกับซัพพลายเออร์ไว้ตามกรอบเวลาที่กำหนด
นอกจากนี้ ได้มีการพิจารณาถึงประเด็นที่ต้องการให้บางจากยังคงส่งเสริมเศรษฐกิจสีเขียวในการดำเนินธุรกิจ รวมทั้งมีการพิจารณาถึงประเด็นการถือหุ้นของรัฐในธุรกิจพลังงานทั้งของบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) และบางจาก จะทำให้ภาครัฐมีบทบาทมากในธุรกิจนำ้มัน ซึ่งในกรณีของบางจากไม่ควรให้ภาครัฐเข้าไปถือหุ้นมากเกินไป เพื่อเป็นการส่งเสริมการแข่งขัน
นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจากและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทบางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บางจากฯ อยู่ระหว่างรอหนังสือจากคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า เพื่อมาดูรายละเอียดของเงื่อนไขการซื้อกิจการว่า บางจากจะมีการยื่นอุทธรณ์หรือไม่ โดยการเข้าซื้อหุ้นของเอสโซ่ยังเป็นไปตามกรอบเวลาที่บางจากฯ กำหนดไว้ ซึ่งหลังได้รับการอนุญาตแล้วจากนี้จะเข้าสู่ขั้นตอนที่เกี่ยวข้องทางการเงิน
รายงานข่าวจากบางจากระบุว่า ที่ผ่านมาบางจากได้ประเมินวงเงินการซื้อหุ้นเอสโซ่สัดส่วน 65.99% จาก ExxonMobil Asia Holdings Pte. Ltd. ไว้ที่ 55,000 ล้านบาท โดยบางจากจะใช้วงเงินสินเชื่อที่ได้รับจากสถาบันการเงินและกระแสเงินสด ซึ่งคาดว่าจะมีการหารือกับสถาบันการเงินในช่วงเดือน ส.ค.2566
นอกจากนี้ ในรายงานความเห็นของที่ปรึกษาทางการเงินอิสระเกี่ยวกับรายการได้มา ซึ่งสินทรัพย์ระบุว่า จากการประเมินรายได้และรายจ่ายของเอสโซ่เห็นว่าช่วงราคายุติธรรมของหุ้นเอสโซ่เท่ากับ 8.13-12.36 บาทต่อหุ้น โดยเมื่อเปรียบเทียบกับราคาซื้อขายที่คำนวณได้เบื้องต้นที่จะอ้างอิงจากงบการเงิน ณ วันที่ 30 ก.ย.2565 ที่ 8.84 บาทต่อหุ้น เป็นราคาที่เหมาะสม
อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาบางจากระบุว่าราคาหุ้นสุดท้ายที่จะเข้าซื้อนั้น จะพิจารณาข้อมูลจากงบการเงินไตรมาส 2 ปี 2566ดันมาร์เก็ตแชร์ตลาดน้ำมันให้กลุ่มบางจาก
นอกจากนี้ ในการเข้าซื้อหุ้นดังกล่าว บางจากได้ประเมินว่าการควบรวมกับเอสโซ่จะทำให้ได้สินทรัพย์เพิ่มขึ้น ดังนี้
1.ธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน จะทำให้มีจำนวนปั๊มรวม 2,145 แห่ง แบ่งเป็นของบางจาก 1,343 แห่ง และเอสโซ่ 802 แห่ง และเมื่อรวมกันจะทำให้มีส่วนแบ่งการตลาดปั๊มน้ำมัน 7.7% ในขณะที่ปั๊มน้ำมันรวมทั่วประเทศในปี 2565 อยู่ที่ 27,993 แห่ง โดยสัดส่วนปั๊มที่ไม่มีแบรนด์มีปริมาณสูงสุด 70.9% รองลงมาเป็นบริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR 8.5%, บริษัทพีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PT 8.0% ส่วนบางจากและเอสโซ่อยู่ในอันดับ 3
ขณะที่ส่วนแบ่งการตลาดน้ำมันสำเร็จรูปสูงสุดยังเป็นของ OR 39.6% รองลงมาเป็นบางจากและเอสโซ่รวมกัน 21.4%, บริษัทไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) 7.0% และบริษัทเชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด 6.7%
ทั้งนี้ บางจากมีแผนการทำตลาดค้าปลีกน้ำมัน โดยจะมีการเปลี่ยนโลโก้ปั๊มน้ำมันเอสโซ่เป็นบางจากได้ช่วงปลายปี 2566 และประเมินว่าจะเปลี่ยนได้หมดภายใน 2 ปี
2.ธุรกิจโรงกลั่นน้ำมัน กรณีควบรวมเสร็จจะทำให้บางจากและเอสโซ่มีกำลังการกลั่นรวมวันละ 297,000 บาร์เรล แบ่งเป็นเอสโซ่ วันละ 177,000 บาร์เรล และบางจากวันละ 120,000 บาร์เรล
ขณะที่กำลังการกลั่นของโรงกลั่นในปัจจุบันพบว่า บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC มีกำลังการกลั่นมากที่สุดที่วันละ 280,000 บาร์เรล รองลงมาเป็นบริษัทไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) วันละ 275,000 บาร์เรล, บริษัทไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) 215,000 บาร์เรล และบริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) วันละ 175,000 บาร์เรล
ทั้งนี้ หากนับกำลังการกลั่นของบางจากและเอสโซ่รวมกันจะทำให้มีกำลังการกลั่นขึ้นมาเป็นอันดับ 1 แต่ถ้านับกำลังการกลั่นของกลุ่ม ปตท.มารวมกัน (ไทยออยล์, ไออาร์พีซี, จีซี) จะทำให้กลุ่ม ปตท.อยู่อันดับ 1 เช่นเดิม
นอกจากนี้ บางจากเชื่อว่าการซื้อกิจการเอสโซ่ครั้งนี้จะสร้างความแข็งแกร่งและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับบางจาก โดยเฉพาะในธุรกิจโรงกลั่นที่ต้องแข่งขันกับโรงกลั่นในภูมิภาค เช่น สิงคโปร์ และการเข้าซื้อหุ้นในครั้งนี้บางจากจะได้โรงกลั่นศรีราชาของเอสโซ่ ซึ่งถือว่าเป็นโรงกลั่นที่มีศักยภาพของ ExxonMobil และทำให้บางจากไม่ต้องขยายโรงกลั่นของตัวเองที่ถนนสุขุมวิท กรุงเทพฯ