EGCO Group ปิดดีล M&A ไทย-สหรัฐฯ ต้นปี 2568 เล็งเติบโตในสหรัฐฯต่อเนื่อง เหตุใช้พลังงานสูงสุดในโลก ขณะที่นโยบาย “ทรัมป์” สร้างโอกาสในการลงทุนโรงไฟฟ้าก๊าซฯ
ดร.จิราพร ศิริคำ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO Group เปิดเผยว่า บริษัทฯอยูระหว่างการเจรจา เพื่อซื้อกิจการโรงไฟฟ้าในประเทศ และสหรัฐฯ ในส่วนของโรงไฟฟ้าในไทยจะมีสัดส่วนการถือหุ้น 30% ปริมาณไฟฟ้า 500 เมกะวัตต์ตามสัดส่วนการถือหุ้น มูลค่าการลงทุน 15,000 ล้านบาทคาดว่าจะจบดีลได้ภายในไตรมาส 1 ของปี 2568
ส่วนในสหรัฐฯกำลังเจรจา 2-3 โครงการ สัดส่วนการถือหุ้น 20-50% มูลค่าการลงทุน 15,000 ล้านบาท แต่หากมีโครงการที่เหมาะสมจะซื้อหุ้นเพิ่ม สอดคล้องกับแผนเพิ่มการลงทุนในสหรัฐฯของบริษัทฯ และนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ที่ลดการสนับสนุนพลังงานหมุนเวียนซึ่งเป็นโอกาสให้บริษัทฯมีรายได้เพิ่มจากโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ อย่างไรก็ตามแม้ว่าทรัมป์ จะมีนโยบายลดการสนับสนุนพลังงานหมุนเวียน แต่เนื่องจากเรื่องนี้เป็นเทรนด์ของโลก ดังนั้นบริษัทฯก็จะยังคงเป้าหมายเดิมในการเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนเป็น 30% ของกำลังผลิตทั้งหมดภายในปี 2573
จากปัจจุบัน (ณ วันที่ 18 พ.ย.67) ที่มีกำลังผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นรวม 1,463 เมกะวัตต์ คิดเป็น 21% ของกำลังผลิตทั้งหมด 7,019 เมกะวัตต์ ส่วนโรงไฟฟ้าก๊าซฯมีสัดส่วน 60% เพราะยังเป็นพลังงานหลักในช่วงการเปลี่ยนผ่าน สำหรับถ่านหิน 19% ซึ่งบริษัทฯจะไม่ลงทุนเพิ่ม ทำให้สัดส่วนนี้จะทยอยลดลง โดยยังคงเป้าหมายภายในปี 2583 มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และเป้าหมายระยะยาว ภายในปี 2593 จะบรรลุการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Carbon)
สำหรับการขายไฟฟ้าสีเขียวที่กำลังเป็นที่ต้องการของนักลงทุนนั้น ขณะนี้บริษัทฯได้เตรียมพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมเอ็กโกระยอง 609 ไร่ สำหรับขายและให้เช่า 421 ไร่ ซึ่งกำลังเจรจาดึงนักลงทุน Data Center จากต่างประเทศ โดยบริษัทฯจะได้ประโยชน์หากมาตรการ Direct PPA ของภาครัฐมีความชัดเจน ขณะเดียวพร้อมนำโครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินกว่า 10 โครงการ ที่ผ่านเกณฑ์คะแนนความพร้อมด้านเทคนิคขั้นต่ำ (Pass/Fail Basis) จากโครงการ RE Big Lot รอบที่ 1 แต่ยังไม่ได้รับการคัดเลือก เพื่อเข้าร่วมโครงการ RE Big Lot ในรอบที่ 2
อย่างไรก็ตามเนื่องจากโลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว บริษัทฯยังอยู่ระหว่างการว่าจ้างที่ปรึกษาปรับโครงสร้างรองรับธุรกิจในอนาคต (Revisit) ซึ่งปัจจุบันมี 100 บริษัทฯที่ลงทุนอยู่ ซึ่ง Active อยู่ประมาณ 50 บริษัท โดยจะพิจารณาจาก Value ที่ให้กับบริษัทฯเป็นหลัก
ดร.จิราพร กล่าวถึงปีหน้าว่า จะมีกำไรเพิ่มขึ้นจากปีนี้แน่นอนจาก 9 เดือนแรกของปี 2567 ที่มีกำไรจากการดำเนินงาน 7,014 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 5,518 ล้านบาท เนื่องจากจะรับรู้รายได้ใหม่จากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่ง Yunlin ในไต้หวัน ปีละ 2,000 ล้านบาท ซึ่งความคืบหน้าล่าสุดได้ติดตั้งเสากังหัน (Monopiles) และกังหันลม (Wind Turbine Generators – WTGs) ครบ 80 ต้น เรียบร้อยแล้ว ได้จ่ายไฟฟ้าเข้าระบบแล้วทั้งสิ้น 68 ต้น คิดเป็นกำลังผลิต 544 เมกะวัตต์ ซึ่งบริษัทฯมั่นใจว่าจะสามารถจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบครบ 640 เมกะวัตต์ ภายในสิ้นปีนี้
นอกจากนี้ปีหน้ายังมีปัจจัยสนับสนุนสำคัญมาจากโครงการลงทุนทั้งในและต่างประเทศในโครงการอื่นๆ ได้แก่ การรับรู้รายได้เต็มปีจากการเข้าซื้อหุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้า Compass ในสหรัฐ และจากการเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ของโรงไฟฟ้า EGCO Cogeneration ส่วนขยาย จ.ระยอง การรับรู้รายได้จากการขายโครงการพลังงานหมุนเวียนและการจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบของ APEX ในสหรัฐ การเจรจาสัญญาซื้อขายไฟฟ้าใหม่ของโรงไฟฟ้า Quezon ในฟิลิปปินส์ ในขณะเดียวกันก็มีโอกาสปิดดีลโครงการโรงไฟฟ้าใหม่ในรูปแบบ M&A ทั้งโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงหลักและพลังงานหมุนเวียน ซึ่งจะสามารถรับรู้รายได้ทันที