วันพุธ, มีนาคม 12, 2025
หน้าแรกHighlightเปิดนักลงทุนชิงสิทธิ สำรวจผลิตปิโตรเลียมรอบ 25 จำนวน 9 แปลง
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

เปิดนักลงทุนชิงสิทธิ สำรวจผลิตปิโตรเลียมรอบ 25 จำนวน 9 แปลง

เปิดนักลงทุนทั่วโลกเข้าชิงสิทธิสำรวจผลิตปิโตรเลียมรอบ 25 แล้ว 9 แปลง เอกชนไทย-ต่างชาติแห่สนใจศึกษาข้อมูล หลังเทคโนโลยีพัฒนาทำให้สำรวจแม่นยำ กระตุ้นเม็ดเงินลงทุนเฉพาะช่วงสำรวจ 2,000 ล้านบาท พลังงานคาดศักยภาพแหล่งก๊าซฯ 7 ล้านล้านลบ.ฟุต ช่วยลดพึ่งพาการนำเข้า LNG เตรียมเดินหน้าเปิดแปลงปิโตรเลียมอันดามันต่อในปลายปี พร้อมเสนอแก้กม.ให้สิทธิผู้รับสัมปทานรายเก่าต่ออายุให้การผลิตเนื่องไม่สะดุดซ้ำรอยแหล่งเอราวั

นายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน เปิดเผยในงานสัมมนาสร้างความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับการเปิดให้ยื่นขอสิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียม สำหรับแปลงสำรวจบนบก (ครั้งที่ 25) ว่า การใช้ไฟฟ้าของประเทศไทยเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยปี 2567 ที่ผ่านมามีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุด (พีค) เพิ่มขึ้น 6% จากปี 2566 หรืออยู่ที่ระดับ  36,792 เมกะวัตต์จากปกติการใช้ไฟฟ้าจะขยายตัว 1-2% ซึ่งมาจากการขยายตัวของรถยนต์ไฟฟ้า และการเข้ามาของนักลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ๆอย่าง DATA CENTER เป็นต้น

ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ

ทั้งนี้ที่น่าสนใจคือพีคเกิดขึ้นในตอนกลางคืนช่วง 3-4 ทุ่ม แสดงว่าใช้มีการใช้โซลาร์ในตอนกลางวัน แต่แม้ว่าจะมีการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น แต่ก็ยังจำเป็นต้องผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิลเพื่อป้อนไฟฟ้าหลักเข้าระบบ โดยปัจจุบันเราใช้ก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ผลิตไฟฟ้าทดแทนก๊าซฯในอ่าวที่ผลิตได้น้อยลง ซึ่งนำเข้าเพิ่มมาอย่างต่อเนื่อง ตามสัญญาระยะยาวปีละ 5 ล้านตัน และนำเข้าจากตลาดจร Sport อีก 94 ลำเรือ สูงสุดเป็นประวัติการณ์ เราจึงต้องค้นหาแหล่งปิโตรเลียมในประเทศเพื่อตอบสนอความต้องการ และลดการพึ่งพาการนำเข้า

นายวรากร พรหโมบล อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กล่าวว่า การเปิดสัมปทานรอบ 25 ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 18 ปีนับจากปี 2551 ที่มีการเปิดระบบสัมปทานบนบก โดยเปิดจำนวน 9 แปลง ครอบคลุมพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ จำนวน 7 แปลง บริเวณจังหวัดหนองบัวลำภู อุดรธานี ขอนแก่น สกลนคร กาฬสินธุ์ มหาสารคาม นครพนม มุกดาหาร ยโสธร อำนาจเจริญ ชัยภูมิ นครราชสีมา บุรีรัมย์ ร้อยเอ็ด และสุรินทร์ และพื้นที่ภาคกลางจำนวน 2 แปลง บริเวณจังหวัดเพชรบูรณ์ ลพบุรี ราชบุรี กาญจนบุรี นครปฐม และสุพรรณบุรี รวมเป็นขนาดพื้นที่ 33,444.64 ตารางกิโลเมตร ซึ่งแปลงในแถบภาคกลางจะมีศักยภาพเป็นน้ำมัน ส่วนแปลงในแถบอีสานจะเป็นก๊าซฯ ศักยภาพเบื้องต้นน่าจะมีก๊าซฯถึง 7 ล้านล้านลบ.ฟุต แต่ก็อยู่ที่การพัฒนาขึ้นมาใช้ได้จริงเป็นอย่างไรด้วย โดยทั้งหมดจะนำมาใช้เป็นแหล่งสำรองปิโตรเลียมในประเทศไทย

การเปิดสัมปทานรอบนี้คาดว่าจะสามารถสร้างการลงทุนในช่วงสำรวจได้กว่า 2,000 ล้านบาท  โดยการเจาะหลุมสำรวจจะใช้เม็ดเงิน 5-6 ล้านดอลลาร์ต่อหลุมสำหรับแหล่งในอีสาน ส่วนภาคกลาง 1-2 ล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ยังสามารถสร้างผลประโยชน์ให้รัฐในรูปแบบของค่าภาคหลวง ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม ตลอดจนก่อให้เกิดการจ้างงานพนักงานคนไทยด้วย

ทั้งนี้ได้กำหนดช่วงให้เอกชนผู้สนใจสามารถจองใช้บริการห้องศึกษาข้อมูล (Data room) ชั้น 22 กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2568 (ตามวันและเวลาราชการ) ผ่านทางอีเมล : [email protected]

นอกจากนั้นกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติยังได้บริการจำหน่ายข้อมูลเพื่อนำไปใช้ประกอบการศึกษาศักยภาพปิโตรเลียมในการกำหนดโครงการสำรวจปิโตรเลียม และจัดทำรายงานการศึกษาทางธรณีวิทยาสำหรับแปลงสำรวจที่จะยื่นขอ จากนั้นจะเปิดให้บริษัทที่สนใจยื่นขอสิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมยื่นซองคำขอและข้อเสนอระหว่างวันที่ 1-16 กรกฎาคม 2568 ทั้งนี้ ขั้นตอนการพิจารณาคำขอสิทธิฯ จะผ่านการพิจารณา กลั่นกรองจากคณะอนุกรรมการที่เกี่ยวข้อง คณะกรรมการปิโตรเลียม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานตามลำดับ และปลายปีนี้จะประกาศผู้ชนะประมูลได้

ทั้งนี้ได้มีบริษัททั้งในประเทศและต่างประเทศสนใจเข้าศึกษาข้อมูลจำนวนหลายบริษัทไม่ต่ำกว่า 5-6 บริษัททั้งไทยและต่างประเทศ เนื่องจากเทคโนโลยีมีการพัฒนาไปมาก ทำให้การวัดค่าความไหวสะเทือน (Seismic Survey) มีความชัดเจน และประเมินศักยภาพได้แม่นยำมากขึ้น

นายวรากร กล่าวต่อว่า สัมปทานรอบ 26 ที่อันดามันจะเปิดต่อเนื่องในปลายปีนี้ ซึ่งเป็นแหล่งที่มีศักยภาพและได้รับความสนในจากนักลงทุนระดับโลกเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้นอกจากการเปิดสัมปทานแล้ว กรมเชื้อเพลิงยังพยายามแก้ไขอุปสรรคในการลงทุน โดยอยู่ระหว่างศึกษาแก้ข้อกฎหมายในเรื่องการต่ออายุสัมปทานที่สิ้นสุดแล้วแต่ยังมีศักยภาพ โดยจะเสนอเปิดให้รายที่พัฒนาอยู่แล้วมีสิทธิเสนอต่ออายุสัมปทานโดยผ่านการพิจารณา เพื่อให้เกิดการพัฒนาปิโตรเลียมขึ้นมาใช้ประโยชน์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันกำหนดช่วงเวลาสำรวจไว้ 3+3+3 รวม 9 ปี ส่วนอายุสัมปทาน 20 ปีต่อได้ 1 รอบ 10 ปี จากนั้นจะต้องคืนสัมปทานและรัฐจะนำไปเปิดประมูลใหม่ แต่ที่ผ่านมากรณีแหล่งเอราวัณเป็นประสบการณ์ที่ทำให้เห็นว่าเมื่อสิ้นสุดสัมปทานและต้องนำแหล่งมาเปิดสัมปทานใหม่ ทำให้การผลิตชะงักและเกิดปัญหาต่อเนื่อง

- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img