วันศุกร์, พฤศจิกายน 22, 2024
spot_img
หน้าแรกHighlightสธ.โต้ข้อมูลวิจัยสหรัฐฯฉีดวัคซีน mRNA มากเสี่ยงติด“โควิด”ขาดความน่าเชื่อถือ
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

สธ.โต้ข้อมูลวิจัยสหรัฐฯฉีดวัคซีน mRNA มากเสี่ยงติด“โควิด”ขาดความน่าเชื่อถือ

กระทรวงสาธารณสุข แจง ข้อมูลวิจัยจากสหรัฐฯ เรื่องรับวัคซีน mRNA หลายครั้ง เพิ่มความเสี่ยงติด “โควิด” ยังขาดความน่าเชื่อถือ ยังไม่ถูกยอมรับให้เผยแพร่ ย้ำฉีดวัคซีนอย่างน้อย 4 เข็ม ห่างกัน 4 เดือน ช่วยไม่ป่วยรุนแรงและเสียชีวิต

 

นพ.รุ่งเรือง กิจผาติ หัวหน้าที่ปรึกษาระดับกระทรวง (นายแพทย์ทรงคุณวุฒิระดับ 11) ในฐานะประธานคณะกรรมการ MIU กระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงกรณีมีข่าวรายงานข้อมูลด้านวิทยาศาสตร์ระบุเรื่องการรับวัคซีน mRNA หลายครั้ง เพิ่มความเสี่ยงติดโรคโควิด 19 ซ้ำ ว่า จากการตรวจสอบพบว่าเป็นข้อมูลงานวิจัยของแผนกโรคติดเชื้อ คลีฟแลนด์คลินิก ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งยังไม่ได้รับการประเมินรับรองจากผู้เชี่ยวชาญก่อนการเผยแพร่ในวารสารวิชาการ และยังไม่ได้รับการยอมรับให้เผยแพร่ตามมาตรฐานวิชาการ ประเด็นที่พบเป็นเพียงการนำเสนอจากข้อมูลที่มีอยู่ ขาดการวิเคราะห์และสรุปข้อมูล

โดยเฉพาะข้อมูลด้านระบาดวิทยาที่สำคัญ พฤติกรรมเสี่ยง พฤติกรรมการป้องกันโรค และประวัติการติดเชื้อร่วมกับการฉีดวัคซีน เนื่องจากการฉีดวัคซีนโควิด 19 เพียงอย่างเดียวไม่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อหรือการติดเชื้อได้อย่างมีนัยสำคัญ สิ่งสำคัญคือ ต้องร่วมกับพฤติกรรมด้านสุขภาพที่ดีในการป้องกันโรค เช่น การสวมหน้ากากอนามัยในสถานที่สาธารณะหรือที่มีผู้คนแออัดจำนวนมาก การล้างมือ และการเว้นระยะห่าง ดังนั้น ผลงานวิจัยดังกล่าวจึงขาดความน่าเชื่อถืออย่างมาก

นพ.รุ่งเรือง กิจผาติ

“ที่สำคัญ ข้อมูลงานวิจัยดังกล่าวไม่สามารถนำมาใช้กับประเทศไทยได้ เนื่องจากมีความแตกต่างกันในด้านสถานการณ์ มาตรการป้องกันควบคุมโรค ด้านระบาดวิทยา และพฤติกรรมสุขภาพของประชากร โดยสหรัฐอเมริกาไม่ได้เน้นมาตรการ เช่น การสวมหน้ากากอนามัย เหมือนประเทศไทย รวมถึงระบบการรักษาพยาบาล การควบคุมโรค และสายพันธุ์ของเชื้อที่ระบาดมีความแตกต่างกัน อีกทั้งผู้ที่ฉีดวัคซีนโควิด 19 เข็มกระตุ้นมากกว่า 3 เข็มในสหรัฐอเมริกา เป็นกลุ่มผู้มีพฤติกรรมเสี่ยงสูง จึงมีโอกาสติดเชื้อซ้ำได้มากกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับการฉีดเข็มกระตุ้น” นพ.รุ่งเรืองกล่าว

นพ.รุ่งเรือง กล่าวต่อว่า ผลการศึกษาดังกล่าวมีประโยชน์ในแง่สนับสนุนให้มีการศึกษาเพิ่มเติมเรื่องการฉีดวัคซีนโควิด 19 เข็มกระตุ้นอย่างรอบด้านมากขึ้น เพื่อเป็นข้อสรุปที่สำคัญในการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยงที่เป็นผู้สูงอายุหรือมีโรคประจำตัว เช่น จำนวนเข็มกระตุ้นที่เหมาะสม ระยะห่างการฉีดเข็มกระตุ้นที่จะเกิดประโยชน์สูงสุด เช่นเดียวกับกรณีวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ที่ปัจจุบันแนะนำให้ฉีดกระตุ้นทุกปี โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง ผู้สูงอายุ ผู้มีโรคประจำตัว สตรีตั้งครรภ์และเด็ก ทั้งนี้ ข้อมูลทางวิชาการที่เป็นที่ยอมรับทั่วโลก คือ วัคซีนโควิด 19 เข็มกระตุ้นช่วยลดโอกาสการเจ็บป่วยรุนแรงและเสียชีวิตได้อย่างชัดเจน จึงขอเชิญชวนประชาชนให้ฉีดวัคซีนโควิด 19 ทั้งเข็มปกติและเข็มกระตุ้นรวมอย่างน้อย 4 เข็ม หากเข็มสุดท้ายนานเกิน 4 เดือน ต้องฉีดเข็มกระตุ้น ตามข้อแนะนำด้านวิชาการในปัจจุบันของประเทศไทย” นพ.รุ่งเรืองกล่าว

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img