อภัยภูเบศรจับมือสถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ ม.มหิดล ลุยวิจัยสมุนไพร ต้านพิษฝุ่น PM 2.5 ชู กระชาย ฟ้าทะลายโจร รางจืด เป็นธงนำ
เมื่อวันที่ 19 ส.ค.ุุ ดร.ภญ.สุภาภรณ์ ปิติพร เลขาธิการมูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศรในพระอุปถัมภ์ฯ เปิดเผยว่า จากการหารือกับ รศ.ดร.ภก.พิสิฐ เขมาวุฆฒ์ ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายวิจัย คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เมื่อวันที่ 18 ส.ค.ที่ผ่านมา เพื่อหาแนวทางการวิจัยเกี่ยวกับสมุนไพรกับโรคเรื้อรังและการลดผลกระทบของ PM 2.5 ต่อสุขภาพ ตั้งแต่การวิจัยในหลอดทดลอง สัตว์ทดลอง ไปจนถึงการวิจัยในมนุษย์ เนื่องจากปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ป่วยโรคเรื้อรังเช่น ความดัน เบาหวาน ไขมัน จำนวนเพิ่มขึ้น ทำให้ค่ายาของโรคในกลุ่มนี้และโรคแทรกซ้อนเพิ่มสูงมากขึ้นทุกปีอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เช่นเดียวกับโรคมะเร็งที่จะมีค่ายา ค่ารักษาแพงมาก โดยรวมๆ ประเทศไทยต้องจ่ายค่ายารักษาโรคเหล่านี้ให้กับต่างประเทศปีละหลายหมื่นล้านบาท ขาดโอกาสที่จะนำเงินไปพัฒนาประเทศด้านอื่นๆ ต่อไป
“เราต้องคิดเรื่องนี้อย่างจริงจังเพื่อทดแทนการนำเข้ายากจากต่างประเทศ เพิ่มความสามารถในการแข่งขันและมีราคาที่ประชาชนเข้าถึงได้ ซึ่งทางอภัยภูเบศรได้ทำงานร่วมกับสถาบันการแพทย์จักรีนฤดบดินทร์ มหาวิทยาลัยมหิดลในช่วงการระบาดของโควิด-19 ที่ผ่านมาได้ค้นพบศักยภาพของสมุนไพรไทยที่มีแนวโน้มจะต่อยอดเป็นยาในกลุ่มนี้ได้ เช่น กระชาย ฟ้าทะลายโจร ซึ่งเป็นสมุนไพรหลักที่จะนำมาพัฒนาต่อร่วมหันในระยะแรกนี้” ดร.สุภาภรณ์ กล่าว
ด้าน รศ.ดร.ภก.พิสิฐ กล่าวว่า องค์การอนามัยโลกกำหนดให้ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 จัดอยู่ในกลุ่ม 1 ของสารก่อมะเร็งมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2556 เราจึงได้พัฒนาโมเดลการศึกษาวิจัยสมุนไพรที่จะมาลดผลกระทบจาก PM 2.5 ซึ่งจากการเก็บข้อมูลพบว่า PM 2.5 จะมีสารหลักๆ อยู่ 3 กลุ่ม โดยมีโลหะหนักมากกว่า 10 ชนิด รองลงมาเป็นสารก่อมะเร็งที่มาจากการคมนาคมพวก PAH; polyaromatic hydrocarbon และกลุ่มสุดท้ายมาจากธรรมชาติ ซึ่งเกิดการเผาไม้ เผาหญ้า ทำให้เกิด เลโวกลูโคซาน (levoglucosan) สารเหล่านี้ทำลายปอดมากที่สุด จึงต้องหาสมุนไพรที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบที่สามารถเข้าเนื้อปอดได้ ซึ่ง จากการศึกษาพบว่าฟ้าทะลายโจรเป็นสมุนไพรต้านการอักเสบที่เข้าไปอยู่ในปอดได้ถึง 30-40% และการทดลองในหนูพบว่า สามารถลดการอักเสบของปอดได้จากการที่ได้รับ PM 2.5 สมุนไพรอีกตัวที่น่าจะมีศักยภาพคือรางจืดเพราะมีงานวิจัยเกี่ยวกับการต้านพิษโลหะหนักและต้านอนุมูลอิสระลดการทำลายเซลล์จากสารพิษ
“ด้วยความเชี่ยวชาญในการสมุนไพรของอภัยภูเบศร ตั้งแต่การปลูก การสกัดและการ พัฒนาตำรับของอภัยภูเบศร กับความเชี่ยวชาญในการวิจัยในระดับพรีคลินิกและคลินิกของสถาบันฯ เราเชื่อมั่นว่า จะสามารถนำสมุนไพรไทยมาเป็นที่พึ่งให้คนไทยและแข่งขันในระดับโลกได้อย่างแน่นอน” ดร.พิสิฐ กล่าวๆ