วันอังคาร, พฤศจิกายน 26, 2024
spot_img
หน้าแรกNEWSนายกฯร่วมงาน ESG Symposium 2023 ลั่นขอให้มั่นใจรัฐบาลพร้อมแก้วิกฤตสิ่งแวดล้อม
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

นายกฯร่วมงาน ESG Symposium 2023 ลั่นขอให้มั่นใจรัฐบาลพร้อมแก้วิกฤตสิ่งแวดล้อม

นายกฯ’ ร่วมงาน ESG Symposium 2023 รับฟังความคิดเห็น ‘ร่วม เร่ง เปลี่ยนประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ’ ลั่นขอให้ทุกคนมั่นใจรัฐบาลพร้อมเดินหน้าแก้วิกฤตสิ่งแวดล้อม และมีแผนที่นำทางการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ

เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 5 ต.ค.66 ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เข้าร่วมรับฟังความคิดเห็น “ร่วม เร่ง เปลี่ยนประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ” และแสดงวิสัยทัศน์การขับเคลื่อนสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ESG (Environmental, Social and Governance) เพื่อผลักดันประเทศไทยสู่ความยั่งยืน ในงาน ESG Symposium 2023 ภายใต้งาน Sustainability Expo 2023

นายเศรษฐา กล่าวแสดงวิสัยทัศน์ว่า ส่วนตัวรู้สึกประทับใจที่ได้เห็นคนไทยทุกภาคส่วน ทั้งภาคเอกชน ภาครัฐ ภาควิชาการ และภาคประชาสังคม ร่วมกันหาแนวทางทำให้ประเทศไทยเป็นสังคมคาร์บอนต่ำ เรื่องภาวะโลกเดือดที่ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของทุกชีวิตบนโลก สภาพอากาศสุดขั้วส่งผลต่อสุขภาพ ภัยแล้งรุนแรงมากขึ้น อาหารขาดแคลน ซึ่งนำไปสู่ปัญหาเศรษฐกิจตั้งแต่ระดับครัวเรือนจนถึงระดับมหภาค ตนเชื่อมั่นเช่นเดียวกับทุกคนว่า หากทุกฝ่ายร่วมมือกันตามกลยุทธ์ ESG ที่เน้นสร้างเศรษฐกิจ ควบคู่กับสมดุลทางสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างโปร่งใส มุ่งสู่เป้าหมาย SDGs ของสหประชาชาติ เราช่วยกันจะกู้โลกให้กลับมาดีขึ้นได้

นายเศรษฐา กล่าวว่า เมื่อเดือนที่ผ่านมาตนได้ร่วมประชุมระดับผู้นำว่าด้วยเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยสหประชาชาติได้กำหนดให้เป็นทศวรรษแห่งการลงมือทำ เพราะเรารอช้ากันอีกไม่ได้แล้ว ประเทศไทยสนับสนุนกรอบความร่วมมือระหว่างประเทศให้มีความเข้มแข็ง โดยเฉพาะความร่วมมือในการจัดสรรแหล่งทรัพยากรและเงินทุน ซึ่งจะช่วยให้ทุกประเทศรับมือกับความท้าทาย และร่วมกันขับเคลื่อน SDGs เป็นรูปธรรม

นายเศรษฐา กล่าวว่า รัฐบาลได้ออกมาตรการทางการเงินกว่า 450,000 ล้านบาท เพื่อลงทุนในเศรษฐกิจสีเขียว และ Thailand Green Taxonomy เพื่อส่งเสริมให้เกิดการลงทุนเพื่อความยั่งยืน ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากภาคธุรกิจไทย โดย Global Compact Network Thailand กว่า 100 บริษัททั่วประเทศ พร้อมขับเคลื่อนการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน และตั้งเป้าลงทุน 1.6 ล้านล้านบาท ในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ SDGs ภายในปี 2573 ส่วนการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืน ต้องมีแนวทางที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนผ่านที่ชัดเจน โดยมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง ซึ่งประเทศไทยได้มีแนวทาง ได้แก่ มุ่งมั่นการพัฒนาที่ยั่งยืนโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ผ่านหลักการไปให้ถึงและช่วยเหลือกลุ่มที่รากหญ้า ส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและความเท่าเทียมทางเพศ สำหรับประชากรทุกคนในประเทศ และให้ความสำคัญกับสิทธิด้านสุขภาพ ผลักดันความร่วมมือทุกระดับ เพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงส่งเสริมการเข้าถึงบริการพลังงานสะอาด ในราคาที่เหมาะสมและมีความน่าเชื่อถือภายในปี ค.ศ.2030

“ขอให้ทุกคนมั่นใจว่าวันนี้ประเทศไทยพร้อมเดินหน้าแก้วิกฤตสิ่งแวดล้อม โดยรัฐบาลบรรจุอยู่ในนโยบาย และมีแผนที่นำทางการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ (Nationally Determined Contribution : NDC) เพื่อให้ทุกภาคส่วนดำเนินงานอย่างบูรณาการร่วมกัน” นายเศรษฐา กล่าว

นายเศรษฐา กล่าวว่า สำหรับข้อเสนอการบูรณาการร่วมเปลี่ยนประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำที่คุณธรรมศักดิ์ได้เป็นผู้แทนเสนอมานั้นต้องขอชื่นชมความตั้งใจที่จะทำโมเดลสระบุรีแซนด์บ็อกซ์ ท่านได้เลือกโจทย์ที่ยากพอสมควร เพราะจ.สระบุรีเองเป็นจังหวัดที่มีโรงงานอุตสาหกรรมใหญ่อยู่มาก เช่น โรงงานปูน เป็นต้น รวมถึงการดำเนินการลดก๊าซเรือนกระจก ต้องอาศัยความร่วมมือทั้งจากเอกชนรายใหญ่และประชาชน ดำเนินมาตรการต่างๆมากมาย และต้องใช้เงินทุน ทั้งนี้ต้องขอชื่นชม SCG ที่ Step up มาผลักดันเรื่องนี้ และขอเชิญชวนบริษัทใหญ่ๆ อื่นๆ มาร่วมกันเป็นพลังเสริมด้วย และขอให้ทำให้สำเร็จ จะได้เป็นตัวอย่างให้เมืองอื่นๆ และภาคอุตสาหกรรมอื่นๆ ในประเทศได้ การผลักดันเศรษฐกิจหมุนเวียนให้เป็นวาระแห่งชาติ ผมชื่นชมทั้ง 3 อุตสาหกรรมนำร่องระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน เพื่อขยายผลความสำเร็จนี้ รัฐบาลจะให้ความสำคัญกับการกำหนดนโยบายจัดการขยะและเปิดให้จัดหาสินค้ากรีน เพื่อสร้าง eco-system ที่เอื้อต่อระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน เป็นต้น การส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด ถือเป็นการสร้างความมั่นคงทางพลังงาน เพื่อรองรับการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในอนาคต และช่วยให้เศรษฐกิจเติบโตแบบคาร์บอนต่ำ รัฐบาลจะให้ความสำคัญกับการใช้พลังงานสะอาดให้เต็มประสิทธิภาพ และศึกษาการเปิดให้สามารถซื้อ-ขายไฟฟ้าจาก Renewable Source ได้มากขึ้น ซึ่งจะเป็นจุดแข็งของประเทศไทยในการดึงดูดนักลงทุน และบริษัทต่างชาติในอนาคต

นายเศรษฐา กล่าวด้วยว่า สิ่งสำคัญคือการเปลี่ยนสู่สังคมคาร์บอนต่ำ โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ต้องยอมรับว่ายังมีประชาชนอีกมาก โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็ก เกษตรกร และชุมชน ที่ยังไม่ตระหนักถึงวิกฤตนี้ หรือยังไม่พบทางออกเพื่อรับมือ เราควรสนับสนุนการเข้าถึงความรู้ เทคโนโลยี และการเข้าถึงเงินทุน แก่ผู้ได้รับผลกระทบจากการสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงให้สามารถปรับตัวอยู่รอดได้ ตนขอฝากให้ธุรกิจขนาดใหญ่เป็นพี่เลี้ยงผู้ประกอบการขนาดเล็กและชุมชน รวมทั้งผนึกกำลังกับภาคส่วนต่างๆ อย่างในวันนี้ โดยข้อเสนอต่างๆ ตนจะมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป มั่นใจว่าเป็นจริงได้แน่นอน หากทุกภาคส่วนมาร่วมบูรณาการ โดยเห็นประโยชน์ของประเทศและของโลกเป็นสำคัญ.

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img