“นาเคนทร์”รองโฆษก อสส.เผย ป.ป.ช. ส่งสำนวนชี้มูลความผิด “สมยศ” อดีต ผบ.ตร.- “เนตร นาคสุข” กับพวก 8 คน ปฎิบัติหน้าที่ไม่ชอบ-สนันสนุนกระทำผิด เปลี่ยนความเร็วรถ “บอส วรยุทธ” ให้อัยการเเล้ว ด้าน “อสส.” ตั้งอัยการปราบทุจริตฯพิจารณาสำนวน ส่งฟ้องศาลฎีกาคดีนักการเมือง
เมื่อวันที่ 21 ต.ค.66 นายนาเคนทร์ ทองไพรวัลย์ อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุดสำนักงานคดีพิเศษ ในฐานะรองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุดเปิดเผยถึงความคืบหน้าในคดีที่ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดกลุ่มผู้ต้องหาในคดีเปลี่ยนแปลงความเร็วของรถยนต์นายวรยุทธ อยู่วิทยา ทายาทเครื่องดื่มชูกำลังนี่ห้อดังในคดีขับรถยนต์ชน ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ ตำรวจ สน.ทองหล่อ เสียชีวิต เมื่อปี 2555 จนมีการกลับคำสั่งไม่ฟ้องคดีว่า
คดีนี้ ป.ป.ช.ส่งสำนวนมาถึงอัยการสูงสุดเมื่อวันที่ 29 ก.ย.ที่ผ่านมา โดยสำนวนดังกล่าว คณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้ชี้มูลความผิด พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.)เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งกรรมาธิการในคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การกฎหมาย กระบวนการยุติธรรมและกิจการตำรวจ เเละเป็นสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กับพวกรวม 8 คน ฐานเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานในตำแหน่งพนักงานอัยการ ผู้ว่าคดี พนักงานสอบสวน หรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญาหรือจัดการให้เป็นไปตามหมายอาญา กระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใด ๆ ในตำแหน่งอันเป็นการมิชอบ เพื่อจะช่วยบุคคลหนึ่งบุคคลใดมิให้ต้องโทษ หรือให้รับโทษน้อยลง
นายนาเคนร์ กล่าวว่า คดีนี้ ป.ป.ช.ส่งสำนวน มีการชี้มูลความผิดเพื่อให้อัยการสูงสุดพิจารณายื่นฟ้องผู้ต้องหาทั้งหมดต่อศาลฎีกาเเผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำเเหน่งทางการเมือง ซึ่งเหตุที่ส่งให้อัยการฟ้องต่อศาลนี้เนื่องจากตามกฎหมาย เป็นศาลที่มีอำนาจในการพิจารณาคดีเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่รัฐที่กระทำความผิดด้วย ไม่ใช่ นักการเมืองอย่างเดียว เป็นไปตาม พรป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตพ.ศ. 2561 มาตรา 76 คดีของผู้ต้องหากลุ่มนี้จึงอยู่ในอำนาจของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ตำแหน่งทางการเมือง
รองโฆษก อสส. กล่าวว่า โดยขั้นตอนหลังจากรับสำนวน ป.ป.ช.แล้ว อัยการสูงสุดได้ส่งสำนวนให้อัยการสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริตดำเนินการพิจารณา ซึ่งอัยการสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริตได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมาพิจารณา ซึ่งผลการพิจารณาจะเป็นไปได้2 กรณี
กรณีที่ 1.ถ้าสำนวนนี้ไม่มีปัญหาพยานหลักฐานสมบูรณ์เพียงพอที่จะดำเนินการยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ ทางอัยการสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริตฯจะพิจารณาความเห็นและนำเสนอต่ออัยการสูงสุดเพื่อพิจารณาสั่งรับดำเนินคดีอาญา โดยจะมีกรอบระเวลาเวลาภายใน 180 วัน ตั้งแต่วันที่รับสำนวน
กรณีที่2.ถ้าคณะทำงานของอัยการของคดีปราบทุจริตพิจารณาแล้วเห็นว่าพยานหลักฐานในสำนวนการสอบสวนยังไม่สมบูรณ์ก็จะดำเนินการ ตั้งข้อไม่สมบูรณ์ได้ กรณีการตั้งข้อสมบูรณ์ไม่ใช่เป็นอำนาจของอัยการคดีปราบปรามทุจริตฯเเต่จะต้องขออนุญาตอัยการสูงสุด หรือทำการเสนอต่อ อัยการสูงสุดว่าคดีนี้ตรวจสอบแล้วว่ามีกรณีที่จะต้องตั้งข้อไม่สมบูรณ์ ซึ่งตามกฎหมายต้องภายใน 90 วันนับตั้งแต่รับสำนวน
หากอัยการสูงสุดเห็นว่าคดีนี้จำเป็นต้องตั้งข้อไม่สมบูรณ์ก็จะมีการแจ้ง ป.ป.ช.เพื่อให้ส่งตัวแทนมาร่วมกันพิจารณาข้อไม่สมบูรณ์เพื่อหาข้อยุติ ไม่เกินฝ่ายละ5 คนและเมื่อพิจารณาข้อไม่สมบูรณ์นั้นแล้วได้ข้อยุติอย่างไรก็ต้องนำเสนออัยการสูงสุดเพื่อพิจารณา
หากคณะที่ประชุมร่วมระหว่างอัยการและ ป.ป.ช.ประชุมร่วมกันแล้วว่ามีการแก้ไขข้อไม่สมบูรณ์แล้ว ก็นำเสนออัยการสูงสุดเพื่อพิจารณามีคำสั่งรับดำเนินคดี แต่ถ้ามีการตั้งข้อไม่สมบูรณ์และมีการประชุมร่วมกันระหว่างตัวแทนอัยการและ ป.ป.ช.
หากอัยการยังมองว่าฟ้องไม่ได้ เพราะพยานหลักฐานไม่เพียงพอก็จะนำเสนออัยการสูงสุด เพื่อที่จะไม่รับดำเนินคดีอาญาและส่งคืน ป.ป.ช.เพื่อให้พิจารณาฟ้องเองอย่างที่เคยปรากฎในหลายคดีที่ผ่านมา
รองโฆษก อสส. กล่าวว่า ในส่วนผู้ต้องหา หากจะร้องขอความเป็นธรรมในขั้นตอนสำนวนถึงอัยการนี้ก็สามารถยื่นร้องขอความเป็นธรรมต่ออัยการสูงสุดได้ ก็จะมีกรอบระยะเวลาในการยื่น เเละจะต้องยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรม ก่อนที่ทางอัยการสูงสุดจะมีคำสั่งรับดำเนินคดีอาญา ถ้าเราพิจารณาตามกรอบระยะเวลาแล้วการยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมก็จะต้องยื่นพยานหลักฐานเพื่ออยากจะให้ดำเนินการสอบสวนเพิ่มเติมเพื่อที่จะนำมาสู่การตั้งข้อไม่สมบูรณ์ จะต้องดำเนินการยื่นภายในกรอบระยะเวลา 90 วัน เพราะว่าถ้ากรอบระยะเวลา 90 วัน หากทางอัยการไม่ตั้งข้อไม่สมบูรณ์ภายใน 90 วัน หรือตั้งข้อไม่สมบูรณ์ไม่ทันกฎหมายจะขยายได้อีก 45 วันเท่ากับเป็น 135 วัน ถ้าภายในระยะเวลานี้ไม่ยื่นขอความเป็นธรรมมันก็ตั้งข้อไม่สมบูรณ์ไม่ได้แล้ว เเต่ทั้งนี้ก็ต้องก่อนอัยการสูงสุดจะมีคำสั่งรับดำเนินคดี
เพราะหากอัยการสูงสุดมีคำสั่งให้รับดำเนินคดีเลย แล้วปรากฏว่าผู้ถูกกล่าวหาทั้งหมดร้องความเป็นธรรมถึงแม้จะยื่นภายในกรอบระยะเวลาตั้งข้อไม่สมบูรณ์ก็ตาม เเต่หากอัยการสูงสุดมีคำสั่งรับไปแล้วก็ไม่สามารถยื่นได้แล้วเพราะเมื่ออัยการสูงสุดมีคำสั่งรับแล้วผู้ถูกกล่าวหามายื่นขอความเป็นธรรม ก็จะสั่งได้อย่างเดียวก็คือยุติการร้องขอความเป็นธรรม
คนพิจารณาหนังสือร้องขอความเป็นธรรมผู้ต้องหาจะเป็นอัยการสูงสุด โดยจะเป็นการยื่นผ่านคณะทำงานที่จะต้องนำเสนอว่าที่ร้องขอความเป็นธรรมจะนำไปสู่ข้อไม่สมบูรณ์หรือไม่ เพราะหากมีการขอความเป็นธรรมแล้ว มันไม่มีประเด็นที่จะตั้งข้อไม่สมบูรณ์ให้อัยการสูงสุดมีคำสั่งรับพิจารณา คณะทำงานก็จะต้องนำเสนออัยการสูงสุด ว่าประเด็นที่ร้องขอความเป็นธรรม ไม่นำไปสู่การตั้งข้อไม่สมบูรณ์ก็เท่ากับว่ายุติไปโดยปริยาย ไม่มีการตั้งข้อไม่สมบูรณ์ ก็นำเสนออัยการสูงสุดเพื่อพิจารณารับดำเนินคดีอาญา
นายนาเคนร์ กล่าวว่า การตั้งข้อไม่สมบูรณ์ต้องอยู่ในกรอบระยะเวลาไม่เกิน 135 วัน ต้องตั้งข้อไม่สมบูรณ์ให้เสร็จภายใน 90 วันตั้งแต่รับสำนวน ขยายได้หนึ่งครั้งไม่เกิน 45 วัน เมื่อตั้งข้อไม่สมบูรณ์แล้วภายใน 135 วันต้องมีข้อยุติแล้วว่าจะดำเนินคดีหรือไม่ จะไม่มียืดเยื้อ การตั้งข้อไม่สมบูรณ์สามารถตั้งได้ครั้งเดียว คือการตั้งข้อไม่สมบูรณ์มาแล้ว ผู้ต้องหามาร้องขอความเป็นธรรมคราวหลังหลังประเด็นที่มาร้องขอความเป็นธรรมจะนำไปสู่การตั้งข้อไม่สมบูรณ์อีกไม่ได้แล้วถือว่าจบแล้ว
เมื่อถามย้ำว่าคดีนี้ทำไมจึงเข้าอำนาจศาลฎีกานักการเมือง ความเห็นอัยการอาจเห็นไม่ตรง ป.ป.ช.ได้หรือไม่
รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุดระบุว่า คดีนี้อยู่ในอำนาจการพิจารณาของศาลฎีกาเเผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำเเหน่งทางการเมือง เพราะเกณฑ์ตามกฎหมายไม่ระบุว่าจำต้องเป็นนักการเมืองเท่านั้น เป็นข้าราชการชั้นระดับสูงคดีอยู่ในอำนาจของศาลนี้ ตาม พรป.ว่าด้วยการป้องกันและปรับปรามการทุจริตพ.ศ. 2561 มาตรา 76
รองโฆษก อสส. กล่าวว่า ในส่วนของนายวรยุทธ คดีนี้อัยการได้มีการสั่งฟ้องนายวรยุทธความผิดฐาน ขับรถโดยประมาทเป็นผู้ทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ซึ่งเป็นข้อหาที่ยังไม่หมดอายุความ ข้อหานี้มีกำหนดอายุความในการดำเนินคดีอาญาอายุความทั้งหมด 15 ปี ซึ่งจะขาดอายุความวันที่ 3 ก.ย. 2570 ซึ่งคดีนี้ทางอัยการมีความเห็นสั่งฟ้องแล้ว ล่าสุดทางอัยการก็ได้มีหนังสือแจ้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อดำเนินการจัดการให้ได้ตัวผู้ต้องหามาฟ้องภายในอายุความ เป็นหนังสือแจ้งฉบับล่าสุดเมื่อเร็วๆนี้
ส่วนขั้นตอนในการติดตามตัวผู้ต้องหามาฟ้องก็เป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวนหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจจะต้องติดตามตัวว่าผู้ต้องหาอยู่ที่ไหน ถ้าผู้ต้องหาอยู่ต่างประเทศก็จะต้องดำเนินการติดต่อ สืบหาที่อยู่ของผู้ต้องหาหรือหลักแหล่งของผู้ต้องหาให้ได้และถ้าจะมีการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนเจ้าหน้าที่ตำรวจและพนักงานสอบสวนจะต้องส่งข้อมูลมายังสำนักงานอัยการต่างประเทศเพื่อให้อัยการสูงสุดในฐานะผู้ประสานงานกลางขอส่งผู้ร้ายข้ามแดนต่อไป ถ้าได้ตัวมาภายในอายุความอัยการก็พร้อมฟ้องทันทีเพราะมีการร่างฟ้องรอเรียบร้อยแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำหรับ 8 ผู้ต้องหาที่ถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดส่งอัยการสูงสุดประกอบด้วย ในฐานปฎิบัติหน้าที่มิชอบรายสำคัญ อาทิเช่น พล.ต.อ. สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีต ผบ.ตร. นายเนตร นาคสุข อดีตรองอัยการสูงสุด เเละกลุ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้องในคดี
ส่วนผู้สนับสนุน ได้เเก่ นายชัยณรงค์ แสงทองอร่าม อดีตอัยการอาวุโส ,ทนายความ,นักวิชาการด้านความเร็ว และนักการเมืองท้องถิ่นชื่อดัง