“กรมอนามัย” คาดการณ์แนวโน้มวันเด็กแห่งชาติ ค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 มีค่าฝุ่นสูงเกินมาตรฐาน อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพกับเด็ก ขอความร่วมมือ ผู้ปกครอง ให้เด็กสวมหน้ากากป้องกันอย่างเหมาะสม พร้อมให้ตรวจเช็คค่าฝุ่นก่อนออกจากบ้าน
นพ.อรรถพล แก้วสัมฤทธิ์ รองอธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า จากการเฝ้าระวังสถานการณ์ PM2.5 ในประเทศ พบเกินค่ามาตรฐานหลายจังหวัด ระหว่างวันที่ 10-13 มกราคม 2567 มีแนวโน้มของระดับฝุ่นละอองที่เกินมาตรฐาน อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพได้ ดังนั้น ในช่วงวันเด็กนี้ ควรให้ความสำคัญในการป้องกันสุขภาพของเด็ก เนื่องจากเด็กมีระบบภูมิคุ้มกันและปอดยังพัฒนาไม่เต็มที่ และมีอัตราการหายใจมากกว่าผู้ใหญ่ ทำให้มีโอกาสหายใจเอาฝุ่นเข้าไปได้ง่าย เพื่อให้เด็กสามารถทำกิจกรรมต่างๆ ได้อย่างเต็มที่ในสถานที่ที่ปลอดฝุ่นและปลอดภัย ก่อนออกนอกบ้านผู้ปกครองควรตรวจเช็คค่าฝุ่นว่าอยู่ในระดับสีใด และปฏิบัติตามคำแนะนำ รวมทั้งจัดให้มีการป้องกันฝุ่นจากภายนอกหรือมีอุปกรณ์ลดฝุ่นภายในห้อง หรือบริเวณห้องที่เด็กอยู่ เพื่อลดการสัมผัสฝุ่น
นพ.อรรถพล กล่าวต่อว่า พ่อ แม่ ผู้ปกครอง ที่มีแผนพาลูกไปเที่ยวหรือร่วมกิจกรรมในวันเด็กตามสถานที่ต่างๆ ควรต้องใส่ใจดูแลสุขภาพเด็กเป็นพิเศษ ในกรณีที่มีการจัดกิจกรรมกลางแจ้ง เช่น ลานกิจกรรม สนามกีฬา สวนสาธารณะ อาจเพิ่มความเสี่ยงในการสูดฝุ่นเข้าสู่ร่างกาย หากพบว่าค่าฝุ่นอยู่ในระดับสีส้มหรือสีแดง ควรให้เด็กลดระยะเวลาหรืองดการทำกิจกรรมกลางแจ้ง หากต้องออกนอกอาคาร ให้เด็กสวมหน้ากากป้องกันฝุ่นละออง โดยเลือกหน้ากากที่มีขนาดของหน้ากากเหมาะสม และสวมใส่ให้กระชับกับใบหน้าของเด็ก
นอกจากนี้ ในช่วงที่ค่าฝุ่นสูง พ่อแม่ ผู้ปกครอง ต้องคอยสังเกตอาการของเด็ก หากสังเกตพบอาการผิดปกติ เช่น ไอบ่อย หายใจลำบาก หายใจถี่ หายใจไม่ออก หายใจมีเสียงวี้ด ให้รีบพาไปพบแพทย์ สำหรับเด็กที่มีโรคประจำตัว ได้แก่ โรคหอบหืด โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรคหัวใจและหลอดเลือด ควรเตรียมยา อุปกรณ์ที่จำเป็นให้พร้อม และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
“ทั้งนี้ ก่อนออกจากบ้าน พ่อแม่ ผู้ปกครอง สามารถติดตามสถานการณ์คุณภาพอากาศอย่างใกล้ชิด ได้ที่เว็บไซต์ http://air4thai.pcd.go.th หรือ แอปพลิเคชัน “Air4Thai” ของกรมควบคุมมลพิษ หรือ “Life Dee” และสามารถประเมินอาการจากการรับสัมผัสฝุ่นละอองเพื่อรับคำแนะนำในการดูแลสุขภาพของเด็ก ได้ที่ https://4health.anamai.moph.go.th หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมอนามัย 1478” รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าว