“ชัยวัฒน์” โวไม่กังวลถูกฟ้องถอนหมุดส.ป.ก. จ่อขน “กรมแผนที่ทหาร-ส.ป.ก.-กรมอุทยาน-กรมที่ดิน” ลงรังวัดพร้อมกันสัปดาห์หน้าเอาให้เคลียร์ปมทับซ้อนเขาใหญ่ ข้องใจ “รองเลขาส.ป.ก.” ถือถุงหิ้วหมุดปักตามใจชอบหรือไม่
เมื่อวันที่ 6 มี.ค.67 เวลา 13.00 น.ที่รัฐสภา นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ผอ.สำนักอุทยานแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีถูก ส.ป.ก. โคราช แจ้งความเอาผิด ปมถอน 27 หมุดว่า เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ซึ่งก็เป็นข้อดี เพราะเขายืนยันว่าเป็นหลักของ ส.ป.ก. เราก็ไม่ต้องไปพิสูจน์ เพราะปกติต้องนำหลัก ส.ป.ก. ไปให้กองพิสูจน์หลักฐานตรวจสอบ ว่าหลักนี้มาจากไหน ซื้อล็อตไหน ใครเป็นคนจัดซื้อจัดจ้าง ใครเป็นผู้รับ แต่เมื่อ ส.ป.ก. โคราช บอกว่าเป็นหลักของเขา ก็มาแจ้งความ ว่าตนลักทรัพย์สินของรัฐเท่านั้น ซึ่งตนไม่ได้กังวล และจะได้มั่นใจว่าเป็นหลักของเขาจริงๆ ทั้งนี้ จากการฟังคำชี้แจงของ ส.ป.ก. ทำให้ไม่มั่นใจว่าหลัก ส.ป.ก. ถือได้ด้วยหรือ ใส่ถุงหิ้วไปแล้วอยากปักที่ไหนก็ได้ใช่หรือไม่ เพราะปกติการออกไปรังวัดหรือปักหลักปักหมุด ต้องใช้แผนงาน แผนเงิน ต้องจ้างแรงงาน ต้องใช้รถยนต์ขนหลักไปปักให้กับชุมชน พร้อมทั้งมีช่างรังวัดไปปักด้วย ตรงนี้ต้องให้ความชัดเจนต่อสังคม แต่ตนฟังแล้วเหมือนกับว่าเดินถือมาอยากจะปักริมห้วยริมแม่น้ำก็ปัก เป็นเรื่องตลก ซึ่งในระบบราชการทำไม่ได้
เมื่อถามว่า การชี้แจงในห้องประชุมกรรมาธิการ ดูเหมือนกรมอุทยานฯ กับกรมแผนที่ทหาร ยังเถียงกันเรื่องเส้นแผนที่นั้น นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า กรมแผนที่ทหารพยายามโชว์ร่องรอย จึงทำให้เห็นการย้อนหลังถึงปี 2496 ทางเราก็อธิบายว่าที่เห็นร่องรอย เป็นตารางล็อกๆ ก็คือสวนป่า ไม่ใช่ชาวบ้านเข้าไปทำกิน หรือเป็นการจัดที่ทำกินของชาวบ้านดั้งเดิม ซึ่งตรงนี้เคลียร์แล้ว ก็เป็นไปในทางเดียวกัน ขณะเดียวกันกรมแผนที่ทหาร ยอมรับว่าไม่ได้ยึดหมุด แต่ยึดจากฟิลด์บุ๊ค หรือการบันทึกในสมุดรังวัด รวมถึงพื้นที่ข้างเคียงว่ามีร่องห้วย และถามชาวบ้านว่าตรงนี้เป็นยอดเขาอะไร แต่ห้วยยาวเป็น 10-20 กม. ก็ไม่ใช่ว่าจะเอาตรงนี้ แต่ไม่เป็นไรเพราะได้ข้อสรุปแล้วในกรรมาธิการ และแจ้งกับ สคทช. แล้วว่า
“จากนี้หน่วยงานต่างๆไม่ว่าจะเป็นกรมอุทยานฯ ส.ป.ก. กรมแผนที่ทหาร กรมพัฒนาที่ดิน ฝ่ายปกครอง ให้ลงไปรังวัดพร้อมกัน และเอาเครื่องมือของแต่ละหน่วยงานไปด้วย แล้วไปวางกันในระบบ ซึ่งเชื่อว่าจะยอมรับกันได้ ดังนั้นแผนที่ที่จะเดินหน้าต่อไปก็ไม่ต้องคุยเรื่องแผนที่ทหารแล้ว ถ้าตนรับได้ก็ไม่ต้องถึงศาลปกครอง หรือฟ้องศาลต่อไป”นายชัยวัฒน์ กล่าว
เมื่อถามว่า เส้นที่ขีดออกมา ที่จะไปลงพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร รับได้ใช่หรือไม่ นายชัยวัฒน์ บอกว่า ใช่ เพราะตนลงไปเอง กรมแผนที่ทหารไปเอง หน่วยงานต่างๆ ก็ไปเอง จะได้มีพยานยืนยัน ว่าที่เดินกันมันถูกต้อง เส้นทางไหน เพราะเป็นการทำงานร่วมกัน ไม่มีความขัดแย้ง ถ้าทุกคนหวังดีต่อประเทศชาติ ไปด้วยกันได้แน่นอน
เมื่อถามว่า นายกรัฐมนตรีบอกว่าให้ยึดเส้นของแผนที่ทหาร จะทำให้เส้นของกรมแผนที่ทหาร มีสถานะเหนือเส้นแผนที่ของหน่วยงานอื่นหรือไม่ นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรียังไม่ได้รับรองว่า เส้นของแผนที่ทหารเอามาใช้ในเคสนี้ แต่วันนี้ ส.ป.ก. เอาเส้นนี้มาฟ้องว่าอยู่ในเขต ส.ป.ก. ถึงมาแจ้งความตน ซึ่งในหลักการก็ต้องคุยกัน แต่ตนไม่ได้โกรธ ก็ถือว่าเป็นไปตามที่คาดหมายไว้อยู่แล้ว เส้นแผนที่นี้ต้องมาตกลงกันครั้งต่อไป ว่าจะต้องเริ่มแบบไหนถึงจะถูกที่สุด
เมื่อถามว่า หวังใจว่าจะคุยกับ ส.ป.ก. อย่างไรให้มันจบ แต่ทุกครั้งที่กรรมาธิการเชิญมา ส.ป.ก. ก็ไม่มาสักที นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า วันนี้ก็เสียใจ เพราะ 2 ครั้งที่มาชี้แจงกรรมาธิการ ทาง ส.ป.ก. ไม่มีผู้แทนมาตอบ อย่างวันนี้อ้างว่าเป็นวันสถาปนา ส.ป.ก. ซึ่งมันก็ต้องมีความรับผิดชอบ เพราะวันนี้มีการประชุม ต้องมาชี้แจงและนำข้อมูลมาให้กรรมาธิการได้รับทราบ และตอบข้อโต้แย้ง แต่วันนี้ได้ฟังตัวแทนจากคณะกรรมการกฤษฎีกา ก็พูดชัดเจนว่า พื้นที่ดังกล่าวต้องถูกจำแนก โดยมีแผนงาน แผนเงิน ลงไป ถึงจะจัดทำรูปแปลงได้
สำหรับรายชื่อผู้ที่ได้รับการจัดสรร ส.ป.ก. ทั้งที่ไม่ได้อยู่ในพื้นที่นั้น กรมอุทยานฯ มีสิทธิ์ใช้อำนาจในการเพิกถอนได้หรือไม่ นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า ทางกรรมาธิการ มีรายชื่อมาแล้ว ว่ามีกว่า 10 คน จาก 58 คน ที่ไม่ได้อยู่ในพื้นที่ แต่ได้รับการจัดสรร พร้อมย้ำว่า ไม่ว่าข้าราชการกลุ่มใด ก็ควรมีสิทธิ์ได้รับจัดสรร หากไม่มีที่ดินทำกินจริงๆ ไม่ใช่เป็นกลุ่มทุน ที่มีที่ทำกิน มีหลักทรัพย์ มีอะไรต่างๆ มันไม่ควรจะได้ ซึ่งต้องแยกกัน อีกทั้งการที่ตนต่อว่า ส.ป.ก. ก็ว่าคนที่ทำผิด ทำทุจริต ไม่ได้ว่าเหมารวม