เครื่องเอคโม่ (ECMO) หรือที่หลายคนอาจเรียกว่า “ปอดเทียม’’ หรือ หัวใจเทียม” เพราะใช้พยุงการทำงานของปอดและหัวใจของผู้ป่วยในภาวะวิกฤต
เมื่อวันที่ 15 พ.ค.64 ผศ.(พิเศษ) พญ.ณับผลิกา กองพลพรหม แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้าน ทางเดินหายใจและปอด ( ทางเดินหายใจและเวชบำบัดวิกฤต ) รพ.จุฬาลงกรณ์ ให้ข้อมูลว่า เครื่อง ECMO หรือ เครื่องช่วยพยุงการทำงานของหัวใจและปอด ทำหน้าที่ทดแทนการทำงานของหัวใจและปอดที่ทำงานผิดปกติ ถูกนำมาใช้ในผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่มีอาการขั้นวิกฤต และมีความจำเป็นต้องใช้เครื่องมือพิเศษในการรักษา
ข้อบ่งชี้ผู้ป่วยโควิด-19 ที่ควรใช้เครื่อง ECMO
- ผู้ป่วยที่มีอาการปอดติดเชื้อ หรือผู้ป่วยที่มีอาการปอดอักเสบอย่างรุนแรง
- ผู้ป่วยที่มีภาวะหายใจลำบากเฉียบพลันระดับรุนแรง
- ออกซิเจนในเลือดต่ำระดับรุนแรง แม้ว่าจะมีการใช้เครื่องช่วยหายใจที่ได้รับการปรับตั้งค่าต่าง ๆ อย่างเหมาะสมแล้ว
- ได้รับการรักษาเสริม เช่น การนอนคว่ำ และการได้รับยาหย่อนกล้ามเนื้อหายใจร่วมด้วยแต่ไม่ตอบสนอง
คำแนะนำจากแพทย์
ผลของการใช้เครื่อง EcMO ในการรักษา ขึ้นกับระดับอาการและความรุนแรงของผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทุกคนจึงควรป้องกันตนเองด้วยการล้างมือเป็นประจำ สวมหน้ากากอนามัย และเว้นระยะห่างระหว่างบุคคล
อย่างไรก็ตามในเว็บไซต์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาด ได้มีเผยแพร่ข้อมูลเพิ่มเติม จากนพ.รุจิภัตต์ สำราญสำรวจกิจ หัวหน้าสาขาวิชาเวชบำบัดวิกฤต ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในหัวข้อ ”เทคโนโลยีช่วยชีวิต ECMO: Save a life” ว่า เครื่องเอคโม่ หรือ Extracorporeal Membrane Oxygenation : ECMO เป็นเครื่องมือที่ใช้เพิ่มระดับออกซิเจนและลดระดับคาร์บอนไดออกไซด์ในกระแสเลือดจากภายนอกร่างกาย สำหรับผู้ป่วยที่ปอดและหัวใจไม่สามารถแลกเปลี่ยนก๊าซในสภาวะปกติได้อย่างพอเพียง ซึ่งในประเทศไทยมีการใช้เครื่อง ECMO ตามโรงเรียนแพทย์และโรงพยาบาลศูนย์ใหญ่ๆ ทั่วประเทศ
โดยโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ได้เริ่มใช้เครื่อง ECMO ครั้งแรกในหออภิบาลผู้ป่วยวิกฤตหลังการผ่าตัดหัวใจและทรวงอก (CVT ICU) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2546 หรือ กว่า 10 ปีที่แล้ว และเริ่มมีการใช้ในหออภิบาลผู้ป่วยเด็กวิกฤต (PICU) ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2554 สำหรับสถิติการใช้เครื่อง ECMO ทั้งหมดใน รพ.จุฬาฯ จนถึงปัจจุบันนี้ แบ่งเป็นการใช้ในผู้ป่วย CVT-ICU 50 ราย และการใช้ในผู้ป่วย PICU 7 ราย
โดยจากสถิติที่รายงาน ใน ELSO registry พบว่าอัตราการรอดชีวิตจากการใช้เครื่องพยุงปอดและหัวใจของเด็กแรกเกิดอยู่ที่ 70% ส่วนในเด็กและผู้ใหญ่จะมีอัตราการรอดชีวิตใกล้เคียงกัน คือ 40-50% แต่หากเปรียบเทียบกับผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการช่วยชีวิตด้วยเครื่อง ECMO พบว่าผู้ป่วยจะมีอัตราการเสียชีวิตมากถึง 90% เลยทีเดียว
ศ.นพ.รุจิภัตต์ กล่าวว่า ผู้ป่วยวิกฤตที่ต้องได้รับการช่วยชีวิตด้วยเครื่อง ECMO ได้แก่ ผู้ป่วยที่มีภาวะการทำงานของหัวใจล้มเหลวชนิดรุนแรงและผู้ป่วยที่มีภาวะหายใจล้มเหลวชนิดรุนแรง หรือในบางรายอาจมีอาการทั้งสองอย่างร่วมกัน
โดยระบบการทำงานของ ECMO นั้น มีอยู่ 3 ระบบได้แก่ 1) Veno-Arterial (VA) สำหรับกรณีที่มีภาวะหัวใจล้มเหลวรุนแรง หรือ มีทั้งปอดและหัวใจล้มเหลว โดยเครื่องจะดูดเลือดออกจากเส้นเลือดดำใหญ่ เช่น จากคอในเด็กเล็ก หรือขาในเด็กโตและผู้ใหญ่ และผ่านเครื่องปอดเทียมเพื่อเพิ่มออกซิเจนและช่วยแลกเปลี่ยนแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์กลับเข้าสู่เส้นเลือดแดงใหญ่ส่วนบนหรือส่วนล่าง 2) Veno-venous (VV) สำหรับกรณีที่มีภาวะหายใจล้มเหลวชนิดรุนแรง โดยเครื่องจะดูดเลือดออกจากเส้นเลือดดำใหญ่ผ่านปอดเทียม และเข้าสู่หลอดเลือดดำใหญ่อีกครั้ง 3) Arterial-venous สำหรับกรณีที่มีภาวะหายใจล้มเหลวชนิดรุนแรงปานกลาง ซึ่งจะใช้แรงดันจากด้านหลอดเลือดแดงโดยไม่ต้องใช้เครื่องดึงผ่านปอดเทียม
ข้อจำกัดในการใช้เครื่อง ECMO นั้น หากผู้ป่วยมีปัจจัยร่วมบางประการเราจะไม่พิจารณานำผู้ป่วยมาใช้เครื่อง ECMO เช่น ผู้ป่วยโรคมะเร็งระยะสุดท้าย, ผู้ป่วยที่ใช้เครื่องช่วยหายใจมาเป็นระยะเวลานาน หรือผู้ป่วยที่มีภาวะ Aortic Regurgitation/Dissection เป็นต้น
นอกจากนี้ยังพบมีผลข้างเคียงบางประการจากการใช้เครื่อง ECMO ไม่ว่าจะเป็น ภาวะเลือดออกในสมอง, ภาวะขาดเลือดไปเลี้ยงที่ขา (ในกลุ่มผู้ป่วยที่ใช้ ระบบ Veno-Arterial ECMO), ภาวะเม็ดเลือดแดงแตก, ภาวะติดเชื้อ, ภาวะเกล็ดเลือดต่ำ เป็นต้น ซึ่งแพทย์และพยาบาล ต้องเฝ้าระวังและดูแลผู้ป่วย อย่างใกล้ชิด ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง