“หมอนิธิ” ตีแสกหน้าหลักการที่จะปูพรมฉีดวัคซีนให้ประชากรทั่วประเทศ 70% ย้ำสถานการณ์ปัจจุบันต้องฉีดในพื้นที่ที่ระบาดสูงกว่าที่อื่นและมีประชากรอยู่หนาแน่น ยันวัคซีนที่ดีที่สุดคือวัคซีนที่อยู่ในตัวคน ต้องคิดถึงการกระจายการฉีดวัคซีนให้ทั่วถึง โดยเฉพาะผู้สูงอายุและคนที่ไม่มีโอกาสเข้าถึงอินเตอร์เน็ตในการลงทะเบียน
เมื่อวันที่ 24 พ.ค.64 ศ.นพ.นิธิ มหานนท์ ผอ.โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ และเลขาธิการราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ โพสต์แสดงความเห็นทางเฟซบุ๊ก Nithi Mahanonda ระบุว่า ฟังไม่ได้ศัพท์อย่าจับมากระเดียด??? When You Know Nothing But Think You Know Everything
ขณะนี้จะมีวัคซีนอะไร แค่ไหนไม่สำคัญเท่าระบบการบริหารจัดการฉีดวัคซีน การพูดหรือคิดหรือบ่นหรือด่าแบบเหมาๆ รวมๆ และไม่สร้างสรรค์ เป็นการกระทำที่ไม่มีประโยชน์และไม่ทำอะไรดีขึ้นได้ การจะบ่นจะว่าใครในเรื่องวัคซีน ต้องเข้าใจให้ถ่องแท้เรื่องวัคซีนนะครับ……ขอสรุปเป็นเรื่องๆ สั้นๆ ตามนี้เอาแต่ข้อเท็จจริง (facts) ไม่เอาตัวเลขให้ทุกคนสับสนครับ
๑.วัคซีนซีนทุกชนิด ทุกยี่ห้อ จากทุกประเทศที่ใช้อยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉินนั้น สามารถใช้ได้ผลทุกชนิด ได้ผลกับทุกสายพันธุ์…จะมากหรือน้อยกว่ากัน เอามาเปรียบเทียบกันไม่ได้ (การเอาตัวเลขมาเปรียบเทียบกันตามที่เห็นๆ นั้น เป็นการเปรียบเทียบที่ไม่มีหลักการทางสถิติหรือวิทยาศาสตร์ใดๆ ทำกัน ทำไม่ได้ครับ)
๒.การได้รับวัคซีน ไม่ว่าจะยี่ห้อใดๆ ดีกว่าไม่ได้ เพราะการได้รับวัคซีนทำให้ความเสี่ยงในการติดเชื้อ เสี่ยงเข้าโรงพยาบาล เสี่ยงโดนใส่ท่อช่วยหายใจ เสี่ยงเสียชีวิต และเสี่ยงแพร่เชื้อให้คนใกล้ชิดที่คุณรัก มีน้อยกว่าไม่ได้วัคซีน
๓.ผลหรืออาการข้างเคียงจากการได้รับวัคซีนเกิดขึ้นน้อยมากๆๆๆๆๆ ถึงมากที่สุดในทุกๆ ชนิดของวัคซีน มีโอกาสน้อยยิ่งกว่าการถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่หนึ่งเสียอีก และที่แน่ๆ คือมีโอกาสน้อยกว่าการเกิดอาการข้างเคียงแบบหนักๆ จากการติดเชื้อโควิด
๔.วัคซีนที่ดีที่สุดคือวัคซีนที่อยู่ในตัวคนครับ…..รีบๆ ฉีดกันครับ อย่าไปเชื่อ “เขาว่า”…การอ่านและแปลผลวิเคราะห์บทความวิจัยทางการแพทย์ไม่ใช่เรื่องง่าย หรือแปลได้อย่างตรงไปตรงมา การเลือกมาหนึ่งย่อหน้าแล้วสรุปให้คนหลงเชื่อหรือหวาดกลัว อันนั้นมั่วครับ ไม่มีเหตุผลใดๆ ทางสถิติหรือวิทยาศาสตร์ที่บอกได้ชัดเจนว่า วัคซีนชนิดไหนดีเลวต่างกันอย่างไรและเท่าไร
อีกเรื่องหนึ่งที่คนเข้าใจผิดกันจริงจังคือ วัคซีนบางชนิดป้องกันบางสายพันธุ์ไม่ได้นั้น ดูจะเป็นการด่วนสรุปกันอย่างไม่มีหลักการเท่าไหร่นัก เพราะการจะวัดว่าวัคซีนใดป้องกันได้แค่ไหนนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ต้องดูความรุนแรงของการแพร่กระจาย (Ro) ของไวรัสสายพันธุ์นั้นๆ ความหนาแน่นแออัดของประชากรและภูมิคุ้มกันหมู่ของประชากรในพื้นที่ที่เกิดการระบาดด้วย หากในพื้นที่มีการระบาดรุนแรงคือมีความชุกของไวรัสสูง มีประชากรในพื้นที่ติดเชื้อจำนวนมาก แต่จำนวนประชากรที่ได้รับวัคซีนมีภูมิต้านทานจำนวนน้อย ภูมิคุ้มกันหมู่ก็ไม่เกิด ให้วัคซีน (ที่ว่ากันว่า) มีประสิทธิภาพแค่ไหนก็ไม่ได้ผล
ดังนั้น หลักการที่ว่าจะทำการฉีดวัคซีนแบบ “ปูพรม” เหมือนกันหมดทั่วประเทศ เพื่อให้ได้ ๗๐% ของประชากรในประเทศจึงเป็นความคิดที่ตื้นเกินไป ในสถานการณ์ปัจจุบันการฉีดวัคซีนให้ตรงเป้า คือต้องพิจารณาพื้นที่ที่มีการระบาดสูงกว่าที่อื่น มีประชากรอยู่อย่างหนาแน่น มีกลุ่ม (cluster) ของสายพันธุ์ที่แพร่กระจายได้ง่าย ให้ได้รับการฉีดวัคซีนให้ได้มากกว่า ๗๐% ของจำนวนประชากรในพื้นที่นั้นๆ โดยเร็วที่สุด…การคิดแบบเหมาๆรวมๆ ตื้นๆ ว่าต้องเหมือนกันทุกพื้นที่ทั่วประเทศนั้นไม่เหมาะสมนักในเวลาที่เรายังมีวัคซีนไม่มากพอ และความรวดเร็วในการฉีดวัคซีนยังไม่ดีพอ
และที่สำคัญ ต้องคิดถึงการกระจายการฉีดวัคซีนให้ทั่วถึง ซึ่งมีความจำเป็นอย่างยิ่งโดยเฉพาะผู้สูงอายุและคนที่ไม่มีโอกาสเข้าถึงอินเตอร์เน็ตในการลงทะเบียน เพราะประชากรกลุ่มนี้ยังมีอยู่มากในพื้นที่ที่อยู่กันแออัดและมีการระบาดรุนแรง ช่วยกันนะครับคนไทยทุกคนช่วยกันไปเราต้องรอดปลอดภัย???