“ดราม่าน้ำตาร่วง”อ่านข่าวไป-ร้องไห้ไป เจอสอน‘เสนอข่าวมีความหวังแทนหดหู่’

ดราม่า “กรรมกรข่าว” อ่านข่าวไป ร้องไห้ไป “ไบร์ท” พิธีกรคู่ขวัญ ชี้หดหู่จริง เรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร เจอสวนทันควัน “เถกิง” เหน็บแสบ เลิกเสนอข่าวหดหู่ มาเสนอข่าวที่มีความหวังดูบ้าง ถอยจาก “ดราม่าน้ำตาร่วง” ไปเป็นแนวควบคุมการระบาด เหมือนจีนที่ทำสำเร็จ “โมเดลแห่งความหวัง” สังคมถึงจะสบายใจ

เมื่อวันที่ 13 ก.ค.64 เกิดปรากฏการณ์ดราม่าบนโลกออนไลน์อีกครั้ง เมื่อ IG : bright_ch3 ของ “ไบร์ท-พิชญทัฬห์ จันทร์พุฒ” พิธีกรคู่ขวัญกับ “สรยุทธ สุทัศนะจินดา” จากรายการ “เรื่องเล่าเช้านี้” และ “เรื่องเล่าเสาร์อาทิตย์” โพสต์คลิปและข้อความว่า อ่านข่าวไป ร้องไห้ไป กลั้นไม่ไหว ..เบรกโฆษณา หันไปอีกทีเห็นพี่ @sorrayuth9111 ก้มหน้าร้องไห้..

วันนี้มีหลายข่าวที่อ่านแล้วเศร้าสะเทือนใจ

• ยายวัย 68 สงสัยติดโควิดจากสามี อาการทรุด ไปรพ.เอ็กซเรย์ ปอดขึ้นฝ้า แต่รพ.ไม่ตรวจโควิดให้ อ้างไม่มีเตียง ต้องกลับมานอนเสียชีวิตที่บ้าน
• ชายวัย 49 ติดเชื้ออยู่ระหว่างรอเตียง พบนอนเสียชีวิตข้างโซฟา ใกล้กันมีถุงอาหาร หลานบอกเอาอาหารมาส่งให้ ลักษณะคล้ายอาคลานลงจากที่นอน ไปหยิบถุงอาหาร แต่ล้มลง เสียชีวิต
• ยายวัย 71 ที่ร่ำไห้รอตรวจโควิดกลางสายฝนที่ตลาดมหานาควันก่อน ผลติดเชื้อ ยายร้องไห้ตลอดเวลา เพราะแม่วัย 88 ที่ป่วยติดเตียงติดโควิด เพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อ 3 วันก่อน ยังทำใจไม่ได้ อาสาเส้นด้ายรับยายไปรพ.บุษราคัม ภาพยายขึ้นรถทุลักทุเล ส่วนน้องสาว กับหลานยายยังไม่มีเตียง
• เด็ก 9 ขวบ ต้องกำพร้าแม่ อยู่ลำพัง เพราะแม่รอตรวจโควิด แต่อาการทรุด เสียชีวิตก่อน กู้ภัยฮุก 31 พาน้องกลับโคราช ไปอยู่กับพ่อ ซึ่งติดโควิด รักษาตัวอยู่ในรพ.
• นี่แค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นนะคะ ..หดหู่จริงๆ ค่ะ ..เรามาถึงจุดนี้กันได้อย่างไร #ร่วมแรงร่วมใจฝ่ามหันตภัยโควิด

หลังโพสต์คลิปและข้อความดังกล่าว บรรดาสื่อต่างๆ นำเสนอเรื่องราวดังกล่าวกันอย่างคึกคัก มีทั้งที่เห็นด้วย แสดงความเห็นใจ และไม่เห็นด้วย โดยเห็นว่า อ่านข่าวร้องไห้ ทำไมดูปลอมมาก แม้แต่ บล็อกเกอร์ยอดนิยม The METTAD ยังอดรนทนไม่ไหว ต้องวิจารณ์ว่า…

วีกก่อน – จี้ให้ฉีด mRNA โดสสามให้แพทย์
วีกนี้ – ด่าว่าฉีดวัคซีนต่างชนิดกัน มันเสี่ยง
กูงงกะมึงไปหมดแล้วครับ พี่ยุทธ

แต่มีอีก 1 ในความคิดเห็นที่น่าสนใจ มาจากน “เถกิง สมทรัพย”์ อดีตนายกสมาคมนักข่าววิทยุโทรทัศน์ไทย และพิธีกรทางสถานีโทรทัศน์บลูสกาย แชนแนล ได้ออกมาโพสต์ว่า…“พี่ยุทธครับ ขนาดคุณสรยุทธ์ยังร้องไห้หดหู่กับโรคภัยที่คร่าชีวิตคนไทยไปทุกวัน คนดูข่าวหน้าจอคงไม่ต่างกันนัก…เพราะถูกยัดเยียดเรื่องดราม่าร้ายๆใส่จอทุกนาที…ถ้าเรามุ่งโฟกัส ขยายชีวิตเศร้าๆ ของคนบางคน บางครอบครัว ก็จะเห็นซีรี่ย์ของความเศร้ากรัดกร่อนวิญญาณของเรากับคนดูทางบ้านไปทุกนาทีเหมือนกัน คนตายเพราะโควิด คนตายเพราะรถชน คนตายเพราะผูกคอตาย …ถ้าเราขยายมันให้ใหญ่ขึ้น มันเศร้าใจทุกราย..แม้แต่ภาพยายตีหลานยับเยินเพราะจะไปเล่นเกม มันก็หดหู่เกินจะทน

คุณสรยุทธเสนอข่าวแบบนี้มานานปี…คงทราบถึงความหดหู่ที่เกิดขึ้นกับตัวเองได้ดี…และก็คงจะทราบดีว่า มันแก้ไขอะไรยากมาก ผ่านไปกี่ปีๆ คุณสรยุทธก็ยังมีข่าวแบบนี้มาให้อ่านตลอด..ทำไม..คุณสรยุทธไม่ลองเปลี่ยนเนื้อหาหน้าจอเพื่อช่วยคนไทยทั้งสังคม แทนที่จะมุ่งเจาะลึกชีวิตดราม่าความตายรายวัน ในเดือนนี้เดือนหน้า…ระบบสาธารณสุขไทยช่วยคนไทยไม่ได้ทั้ง 60-70 ล้านคน…หมอไม่พอ พยาบาลไม่พอ เตียงไม่พอ จะพึ่งวัคซีนก็ยังทะยอยมาไม่ทัน มียังไม่พอ…ถึงจะฉีดแล้วก็ยังต้องรออีกเป็นเดือนเพื่อให้ภูมิคุ้มกันทำงาน…

“พี่ยุทธ” ลองเปลี่ยนแนวทางเสนอข่าวให้มีความหวังมากขึ้นมาแทนความหดหู่สิครับ…เช่น..ตระเวนหาโมเดลดีๆ ทั่วประเทศที่เขาร่วมมือร่วมใจกันปฏิบัติเพื่อลดการติดเชื้อโดยไม่ต้องพึ่งวัคซีน ไม่พึ่งโรงพยาบาล…มากเกินไป ยกย่องชื่นชมสังคมหรือชุมชนที่ยึดหลัก “ตั้งการ์ดสูง” …ทั้งในระดับชุมชนเล็กๆไปถึงชุมชนใหญ่ๆ …ในโรงเรียน ในบริษัท ..ในหมู่บ้าน ในอำเภอ…

พูดง่ายคือ “พี่ยุทธ” ถอยจากการเสนอข่าวร้ายแบบดราม่าน้ำตาร่วง..ไปเป็นแนว “ควบคุมการระบาด” เหมือนที่เมืองจีนเขาทำสำเร็จมาแล้ว เราจะได้เห็น “โมเดลแห่งความหวัง” มาเรียนรู้เพื่อป้องกันตัวเองทุกวันอย่างมีความความหวังและทำได้จริง ในขณะนี้ระบบสาธารณสุขก็ดี วัคซีนก็ดี ช่วยคนไม่ได้ทุกคน แต่วิธีปฏิบัติตัวด้วยหลักตั้งการ์ดสูงจะช่วยทุกคนให้ปลอดภัย

“พี่ยุทธ”เปลี่ยนแนวมาเสนอข่าวแห่งความหวังให้มากขึ้น สังคมก็จะสบายใจและปลอดภัยไปด้วยกัน จนกว่าวัคซีนมาถึงและครบตามเป้าหมาย….”