สธ. แจงจัดสรร’’วัคซีนไฟเซอร์’’ 1.5 ล้านโดส เริ่มจากบูทเตอร์โดสด่านหน้า 7 แสนโดส เด็กไปเรียนต่างประเทศ 1.5 แสน ที่เหลือกระจายให้กลุ่มเสี่ยง 13 จว.พื้นที่สีแดงเข้ม
เมื่อวันที่ 31 ก.ค.64 นพ.สุระ วิเศษศักดิ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยถึงการจัดสรรวัคซีนไฟเซอร์ 1.5 ล้านโดสว่า จากฐานข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุข มีการจัดสรรให้กับบุคลากรด่านหน้าเพื่อฉีดกระตุ้นเป็นเข็มที่ 3 จำนวน 7 แสนโดส กรณีที่มีบุคลากรทางการแพทย์ได้ฉีดวัคซีนแอสตร้าเซเนก้าเป็นเข็มที่ 3 ไปก่อหน้านี้แล้วนั้น ตัวเลขจะอยู่ที่กรมควบคุมโรค ที่ได้มีการทำแบบสำรวจไปที่รพ.แต่ละแห่ง ซึ่งผลสรุปออกมายังไม่ทันในการประชุมพิจารณาจัดสรร ดังนั้นที่ประชุมจึงได้อนุมัติในหลักการให้เข็ม 3 บุคลากรด่านหน้าไปจำนวนรวม 7 แสนโดส
ทั้งนี้เมื่อได้ยอดเข้ามาชัดเจนแล้วส่วนต่างที่เหลือจากกรณีที่บุคลากรฉีดแอสตร้าฯ เป็นเข็มที่ 3 ไปแล้วจะจัดสรรให้กับกลุ่มใดต่อไปนั้น จากการประชุมศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข (EOC) กรณีโรคโควิด 19 ที่มีนพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธาน เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา (31 ก.ค.) ที่ประชุมเห็นว่ายังมีกลุ่มที่มีความเสี่ยงในการดูแลคนไข้ที่ติดโควิดได้ เช่น บุคลากรทางการแพทย์ ที่ถึงแม้ไม่ได้อยู่ด่านหน้าโดยตรงแต่ก็ยังมีความเสี่ยง ก็จะมีการพิจารณาตรงนี้เพิ่มเติม ทั้งนี้เราเสนอศบค.ไปว่าเข็ม 3 สำหรับบุคลากรการแพทย์ด่านหน้า ศบค.ก็รับทราบแบบนั้น ก็ต้องจัดตามแบบนี้ก่อน ส่วนรอบถัดไปก็ต้องมีการผ่อนคลาย เพราะว่าคนของเราที่มีความเสี่ยงมาก
“การจัดสรรวัคซีนไฟเซอร์ 1.5 ล้านโดส เป็นไปตามหลักเกณฑ์อยู่แล้ว ส่วนต่างที่เหลือจากกรณีที่บุคลากรฉีดบู๊สเตอร์ด้วยแอสตร้าฯ แล้วจะต้องมีการพิจารณาว่าจะเกลี่ยไปลงตรงจุดไหน กลุ่มเป้าหมายที่เรากำหนดไว้ในล็อตนี้ยังขาดอยู่ก็จะเกลี่ยไปให้ เช่น กลุ่มนักเรียนที่ต้องเดินทางไปต่างประเทศซึ่งกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) จะเป็นผู้รวบรวมมา ถ้ามีตัวเลขเกินกว่า 1.5 แสนโดสที่เราจัดสรรให้ก็เกลี่ยมาให้ตรงจุดนี้เพิ่ม หรือถ้าในยอด 1.5 แสนโดสที่จัดให้กับทางกต. เหลือ ก็อาจจะนำมารวมเป็นกองกลาง แล้วกระจายไปยัง 13 จังหวัดเป้าหมายที่กำหนด เพราะเป็นพื้นที่เสี่ยง ที่ยังมีตัวเลขของกลุ่มเสี่ยงทั้งผู้สูงอายุ ผู้มีโรคประจำตัว หญิงตั้งครรภ์ ที่เราต้องเข้าไปฉีดเพื่อลดอัตราการป่วยเสียชีวิต” นพ.สุระ กล่าว
เมื่อถามว่า ขณะนี้มีการออกมาระบุว่ามีบุคลากรการแพทย์บางส่วนยังไม่ได้ฉีดวัคซีนเลยแม้แต่ตัวเดียว เพราะรอวัคซีนบางตัวอยู่จะได้รับวัคซีนไฟเซอร์เป็นเข็ม 1 ในรอบนี้ด้วยหรือไม่ นพ.สุระ กล่าวว่า วัคซีน 1.5 ล้านโดส หากดูกลุ่มเป้าหมายหลักที่เราจัดไว้ เหลือจากกลุ่มใดก็เกลี่ยภายในกลุ่ม แต่ถ้าไม่พอจริงๆ ก็ต้องรอรอบถัดไป ทั้งนี้ จริงๆ เรามีวัคซีนแอสตร้าฯ ให้อยู่แล้ว ประสิทธิภาพก็เหมือนๆ กัน
อย่างไรก็ตาม หากเป็นบุคลากรด่านหน้าจริงๆ และมีความจำเป็นต้องได้ไฟเซอร์ อาจจะต้องพิจารณาเป็นรายๆ ไป เช่น บุคลากรบางคนแพ้วัคซีนที่เรามีอยู่ทั้งหมด เขาไม่สามารถฉีดวัคซีนที่มีองค์ประกอบบางอย่างในวัคซีนที่เราฉีดอยู่ จึงจำเป็นต้องรอวัคซีนตัวอื่นๆ เมื่อมีเข้ามาก็ต้องพิจารณาให้เป็นรายๆ ไป
รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวต่อว่า สำหรับการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ ที่ต้องมีการผสมน้ำเกลือนั้น เป็นสูตรการฉีดที่ทางไฟเซอร์กำหนดอยู่แล้ว ส่วนบุคลากรของเราก็พร้อมที่จะฉีดด้วยเทคนิคนี้อยู่แล้ว เพราะที่ผ่านมา ในการปฏิบัติงานดูแลผู้ป่วยโรคอื่นๆ พยาบาลก็มีการผสมยากับน้ำเกลือ มีการผสมวัคซีนตัวอื่นๆ มาก่อนหน้านี้แล้ว เช่น การฉีดวัคซีนพิษสุนัขบ้า ก็ต้องมีการผสมน้ำกลั่นกับวัคซีนแห้งก่อนฉีด เป็นต้น
ดังนั้นเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ และไม่ใช่เทคโนโลยีใหม่ บุคลากรมีการปฏิบัติงานอยู่แล้ว เพียงแต่ที่มีการประชุมคอนเฟอร์เรนส์กันเมื่อวันที่ 30 ก.ค.ที่ผ่านมา ก็เป็นการซักซ้อมทำความเข้าใจกัน ขอประชาชนอย่ากังวล ย้ำว่าการผสมน้ำเกลือ ก็เป็นข้อกำหนดการฉีดวัคซีนไฟเซอร์อยู่แล้ว เราไม่ได้มาคิดเอง.