“บิ๊กตู่” กำชับกลางห้องประชุมสภากลาโหม วางกฎให้เหล่าทัพแต่งตั้ง-ปรับย้าย ยึดคนเก่ง คนดี เป็นที่ยอมเข้าทำงาน
เมื่อวันที่ 25 ส.ค. 64 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมสภากลาโหมผ่านระบบสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ภายหลังการประชุม พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกลาโหม แถลงว่า พล.อ.ประยุทธ์ได้มอบนโยบายให้หัวหน้าหน่วยขึ้นตรงกลาโหม และผู้บัญชาการเหล่าทัพ โดยเรื่องการติดตามและประเมินสถานการณ์ระหว่างประเทศ ขอให้ติดตามสถานการณ์ความมั่นคงระหว่างประเทศ โดยเฉพาะยุทธศาสตร์ความมั่นคงของมหาอำนาจสองขั้วและความเคลื่อนไหวทางทหารในตะวันออกกลาง และในเอเชียตะวันออกเชียงใต้ โดยพิจารณาการดำเนินการรักษาสมดุล
ความสัมพันธ์ทางทหารและความร่วมมือของทุกฝ่ายอย่างสร้างสรรค์ รวมถึงสนับสนุนการแก้ไขปัญหาอย่างสันติวิธีเพื่อเสถียรภาพและความมั่นคงทางภูมิภาค สำหรับสถานการณ์ในเมียนมา ที่มีสถานการณ์การเมืองภายในทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ขอให้ทุกเหล่าทัพประสานกับฝ่ายปกครอง เตรียมความพร้อมรับทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้นโดยยึดหลักเมตตาธรรมและหลักสิทธิมนุษยชน
พล.ท.คงชีพ กล่าวอีกว่า สำหรับการปรับย้ายกำลังพลของทุกเหล่าทัพ พล.อ.ประยุทธ์ได้กำชับขอให้หน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหมและเหล่าทัพให้ความสำคัญในการพิจารณาคัดเลือกและปรับย้ายกำลังพลที่มีความรู้ ความสามารถ เป็นคนเก่งคนดีและได้รับการยอมรับเข้ามาทำหน้าที่ ในการเป็นผู้บริหาร หรือผู้นำหน่วยงานในทุกระดับ เพื่อร่วมการยกระดับหน่วยงานและขับเคลื่อนกองทัพนำไปสู่ความทันสมัยโปร่งใส ไม่สร้างปัญหาและได้รับความเชื่อมั่นจากประชาชนอย่างไรก็ตาม พล.อ.ประยุทธ์ยังได้ขอบคุณหน่วยขึ้นตรงกลาโหมและทุกเหล่าทัพในการร่วมกันแก้ไขปัญหาโควิด-19
ที่ดำรงความต่อเนื่องในการสนับสนุนแก้ปัญหาของรัฐบาลที่ช่วยเหลือประชาชนมาโดยตลอด และขอให้เตรียมความพร้อมสนับสนุนในการกระจายวัคซีนในช่วงปลายปี 2564 เพื่อกระจายไปสู่ประชาชนให้เร็วที่สุด จึงขอให้เตรียมขยายขีดความสามารถโรงพยาบาล โรงพยาบาลสนาม ศูนย์พักคอยของทหารให้พร้อมรองรับผู้ป่วยในทุกระดับ
“พล.อ.ประยุทธ์ ขอให้หน่วยขึ้นตรงกลาโหม เหล่าทัพ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตช.) และกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร(กอ.รมน.) สนับสนุนข้อมูลที่ถูกต้องในการดำเนินงานด้านความมั่นคงและเปิดเผยในสิ่งที่ต้องเปิดเผยให้กับสังคมประชาชน และการเมืองในกลไกรัฐสภา เพื่อให้เกิดความเข้าใจร่วมกันไม่ให้เกิดช่องว่างของการนำข้อมูลที่ไม่ครบถ้วนนำไปบิดเบือนสร้างความเข้าใจผิด ซึ่งอาจกระทบต่อภาพลักษณ์ของบุคคลองค์กร และขยายนำไปสู่ความขัดแย้งในสังคม ทั้งนี้ หากมีการดำเนินการที่กระทำแล้วส่งผลต่อภาพลักษณ์ความเสียหายต่อองค์กร ขอให้ดำเนินการติดตามและลงโทษเอาผู้กระทำผิดตามกฎหมายมาลงโทษ” พล.ท.คงชีพ กล่าว