ข่าวดี! ศบค.เผยกลุ่มฉีดซิโนแวค 2 เข็ม เตรียมรับ SMS บูสเตอร์โดส 24 ก.ย.นี้
วันที่ 17 ก.ย. 64 ที่ทำเนียบรัฐบาล พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. กล่าวว่า สรุปผลการฉีดวัคซีนในประเทศไทย เมื่อวันที่ 16 กันยาน มีการฉีดวัคซีนเพิ่มขึ้น 684,589 โดส ตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ เป็นต้นมา มีผู้ที่ได้รับวัคซีนแล้ว 43,342,103 โดย เข็ม1 คิดเป็น 39.5% เข็ม 2 คิดเป็น 19.8% เป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จังหวัดที่มีประชากรได้รับวัคซีนเข็ม 1 เกิน 50% ของจำนวนประชากรทั้งจังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ ปทุมธานี สมุทรสาคร สมุทรปราการ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ภูเก็ต และพังงา
พญ.อภิสมัย กล่าวว่า จังหวัดที่ได้รับวัคซีนครอบคลุมผู้สูงอายุ เกิน70% ของจังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ ปทุมธานี ภูเก็ต และพังงา โดยนโยบายของ ศบค.ในช่วงเดือนตุลาคมนี้ ทุกจังหวัดจะต้องฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมประชากร อย่างน้อย 50% ครอบคลุมกลุ่มผู้สูงอายุ ผู้มีโรคเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค และหญิงตั้งครรภ์ ให้มากที่สุด เมื่อมีการฉีดกลุ่มเป้าหมายครบแล้ว ขอให้จังหวัดพิจารณาฉีดวัคซีนเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจในพื้นที่ด้วย อย่างน้อย 1 อำเภอ ครอบคลุมร้อยละ 70 และ หากอำเภอนั้นถูกเลือกเป็นอำเภอนำร่องเปิดการท่องเที่ยว COVID Free Area ขอให้มีการระดมฉีดวัคซีนในอำเภอนั้นๆ ให้ครอบคลุม 80%
ผู้ช่วยโฆษก ศบค. กล่าวต่อว่า นอกจากนั้นที่ประชุมยังพูดถึงวัคซีนกระตุ้นเข็ม 3 หรือบูสเตอร์โดส กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) อนุมัติให้ผู้ที่ฉีดซิโนแวค 2 เข็ม เข้ารับวัคซีนกระวัคซีนกระตุ้นเข็ม 3 ตั้งแต่วันที่ 24 กันยายน ซึ่งตรงกับวันมหิดลเป็นต้นไป ทั้งนี้ จะเป็นการทยอยฉีด จะมีการส่งเอสเอ็มเอสให้ผู้ที่ได้รับเข็ม 2 ในช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม ประมาณ 3 ล้านรายก่อน ส่วนผู้ที่ได้รับเข็ม 2 ไปในช่วงเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม อาจจะต้องรอก่อน เช่นเดียวกับจังหวัดภูเก็ตที่มีการฉีดเข็ม 2 กว่า 70% และได้มีการศึกษาปรับวิธีการฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าที่จะใช้เป็นเข็ม 3 ในวิธีฉีดเข้าผิวหนัง เทียบกับการฉีดเข้ากล้ามเนื้อพบว่าภูมิคุ้มกันหลัง 2 สัปดาห์ไม่มีความแตกต่างกัน ดังนั้น ทางภูเก็ตจึงจะฉีดวัคซีนเข้าผิวหนัง และทำให้วัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า 1 โดส สามารถฉีดได้ 5 คน
พญ.อภิสมัย กล่าวว่า ส่วนการฉีดวัคซีนในกลุ่มนักเรียนอายุ 12-17 ปี กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) รายงานที่ประชุมว่า โรงเรียนที่อยู่ในสังกัด ศธ. ทั้งโรงเรียนมัธยมศึกษาสังกัดรัฐบาลและเอกชน สถานศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน สังกัดกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โรงเรียนปริยัติธรรม กองพุทธศาสนศึกษา สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ สถาบันศึกษาปอเนาะ และสถาบันการศึกษาอื่นๆ ที่มีนักเรียนวัยเดียวกันกำลังศึกษาอยู่ เช่น โรงเรียนเตรียมทหาร กระทรวงกลาโหม โรงเรียนคนพิการ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โรงเรียนในสังกัด อปท เป็นต้น จะอยู่ในการดูแลของ ศธ. เป้าหมายเด็กนักเรียน จำนวน 4.5 ล้านคน
“ที่ผ่านมาได้มีการส่งแบบสำรวจและทำความเข้าใจเกี่ยวกับการฉีดวัคซีน และให้แสดงความจำนงกลับมาที่ศึกษาธิการจังหวัด (ศธจ.) ดังนั้น ขอให้ติดตามนโยบาย ย้ำว่าเป็นกลุ่มนักเรียนอายุ 12-17 ปี ไม่รวมเด็กอายุน้อย เพราะการฉีดวัคซีนในเด็กต้องพิจารณาถึงความปลอดภัย”ผู้ช่วยโฆษก ศบค. กล่าว