คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติเคาะแผนเปิดประเทศระยะ 2 ต่างชาติเข้าไทยไม่ต้องกักตัววเพิ่มช่องทางบก-เรือ เตรียมชงศบค. 26 พ.ย.นี้
เมื่อวันที่ 25 พ.ย.64 ที่กระทรวงสาธารณสุข นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข แถลงข่าวหลังการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติสรุปประเด็นสำคัญคือที่ประชุมมีมติ 3 เรื่อง คือ 1. เห็นชอบแนวทางปฏิบัติของคนต่างชาติที่เข้ามายังประเทศไทยตามนโยบายการเปิดประเทศระยะที่ 2 เริ่ม 1 ธ.ค.2564 โดยไม่กักตัวหากมีเอกสารรับรองการฉีดวัคซีนครบโดส มีการตรวจหาเชื้อก่อนเดินทาง ซึ่งปัจจุบันมี 63 ประเทศในระบบ Test & Go ซึ่งสธ.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะติดตามมาตรการควบคุมป้องกันโรคอย่างใกล้ชิด
2.เห็นชอบยกเว้นการเก็บค่าธรรมเนียมการออกวัคซีนพาสปอร์ตอิเล็กทรอนิกส์ จากเดิมที่เก็บ 50 บาท และเพิ่มจุดการขอออกเอกสารดังกล่าวเพิ่ม 120 แห่งทั่วประเทศ กทม.อยู่ที่รพ.บางรัก,สถาบันบำราศนราดูร และสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง และอีกทั่วประเทศ
3. การจัดซื้อยารักษาโรคเพิ่มเติม โดยวันนี้ลงนามซื้อยาโมนูพิราเวียร์ แล้ว 50,000 คอส จำนวน 2 ล้านเม็ด และกำลังเจรจาซื้อยาแพคโลวิดเพิ่มเติมจำนวนเท่ากันคือ 50,000 คอส จำนวน 2 ล้านเม็ด
นอกจากนี้วันนี้ยังมีการลงนามซื้อวัคซีนไฟเซอร์สำหรับปี 2565 เพิ่มจำนวน 30 ล้านโดส ซึ่งเป็นบู๊สเตอร์โดส ทั้งนี้ในสัญญายังระบุว่าหากมีวัคซีนรุ่น 2 หรือสามารถฉีดในเด็กต่ำกว่า 12 ปีได้ก็สามารถนำเข้ามาในโควตานี้ได้ ทั้งนี้ปัจจุบันไทยฉีดวัคซีนได้กว่า 47 ล้านคนแล้ว จากเป้าหมายที่ต้องฉีด 50 ล้านคน แปลว่ายังเหลืออีก 3 ล้านคนยังไม่ได้ฉีด ดังนั้นเชื่อว่าจะฉีดครบ 100 ล้านโดส ภายในสิ้นเดือนนี้
ด้านนพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า เรื่องการเปิดประเทศระยะที่ 2 ที่จะเสนอเข้าศบค.ในวันที่ 26 พ.ย.นั้น เป็นไปตามที่รมว.สธ.ระบุ โดยหลักๆ คือจะมีการเปิดช่องทางการเข้าประเทศมากขึ้น เพราะดูข้อมูลแล้วว่าอัตราการติดเชื้อในคนที่เข้ามาในประเทศระยะแรกค่อนข้างน้อย เช่น คนที่เข้ามาตามระบบ Test & Go มีการติดเชื้ออยู่ที่ 0.08% เป็นไปตามแผนที่ท่านนายกรัฐมนตรีกำหนดไว้ ดังนั้น 1. จะเสนอเปิดช่องทางการเข้าประเทศมากขึ้น เดิมอนุญาตให้เข้ามาเฉพาะทางอากาศเท่านั้น ก็จะเปิดเพิ่มทางเรือ และทางบก แต่ก็ไม่ใช่เปิดด่านบกทั้งหมดทั่วประเทศ จะเลือกเฉพาะด่านที่มีความปลอดภัย เพื่อเป็นการนำร่องก่อน 2. มีข้อจำกัดน้อยลง แต่ต้องเข้มข้นเรื่องการฉีดวัคซีน และการตรวจ Lab
นพ.โอภาส กล่าวต่อว่า ส่วนรายชื่อประเทศที่จะเข้ามานั้น ที่ประชุม ศบค.ก่อนนี้ได้มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้พิจารณาแต่กาศเพิ่ม แต่แนวโน้มไม่น่าจะมีการประกาศลดประเทศเดิมที่เราอนุญาตไปก่อนหน้านี้ เพราะดูประเทศก็เป็นเพียงต้นทาง ไม่สำคัญเท่าคนที่เข้ามา คือ ต้องฉีดวัคซีนครบทุกคน ยกเว้นเด็กที่ฉีดไม่ได้ ก่อนเข้าต้องตรวจ RT-PCR ในระยะ 72 ชั่วโมงก่อนเดินทาง และเมื่อเข้ามาแล้วเดิมเรากำหนดว่าให้ตรวจ RT-PCR ซ้ำ ก็อาจจะปรับเป็นการตรวจ ATK แทน และมากำหนดว่าระหว่างนี้จะให้อยู่รอที่ไหน และใครจะเป็นคนรับผิดชอบเรื่องอะไรบ้าง อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนวิธีตรวจต้องใช้เวลา เพราะตอนนี้ระบบ Test & Go มีคนเข้ามา 5 พันกว่าราย เชื่อว่าถ้าเราเปิดมากกว่านี้จะมีคนเข้ามามากกว่านี้ ดังนั้นต้องวางระบบให้ดีก่อน
เมื่อถามว่า กรณีคนต่างชาติเข้ามาเราตรวจเจอเชื้อก่อนในระดับที่ต่ำ แต่พอเข้ามาแล้วมีอัตราการติดเชื้อมากน้อยแค่ไหน นพ.โอภาส กล่าวว่า กลุ่มที่เข้ามาแล้วมีการติดเชื้อไม่มาก เมื่อเทียบกับการติดเชื้อในประเทศไทย ทั้งนี้จากข้อมูลที่รวบรวมจากภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ ไม่ได้ทำให้การระบาดในภูเก็ตเพิ่มขึ้น ย้ำว่าเข้ามาแล้วจะมี่การติดเชื้อ แต่เข้ามาแล้ว การติดเชื้อต่ำ.