“กลุ่มอาสาพัฒนาจะนะ” บุกสภาฯหนุน โครงการนิคมอุตสาหกรรมต่อยอดเมืองต้นแบบ สร้างรายได้ ลูกหลานมีงานทำ ด้าน “ส.ส.สฤษฏ์พงษ์” จ่อหาข้อสรุป แนะอย่ามองกลุ่มเห็นต่างผิดอย่างเดียว
วันที่ 14 ธ.ค. 64 ที่รัฐสภา กลุ่มอาสาพัฒนาจะนะประมาณ100 คน เข้ายื่นหนังสือถึงนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฏร ผ่านนพ.สุกิจ อัถโถปกรณ์ ที่ปรึกษาประธานสภาฯ และนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา ผ่านตัวแทนจากกลุ่มงานประธานวุฒิสภา และนายสฤษฏ์พงษ์ เกี่ยวข้อง ส.ส.กระบี่ พรรคภูมิใจไทย (ภท.) ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกมธ.การกระจายอำนาจ การปกครองส่วนท้องถิ่น และการบริหารราชการรูปแบบพิเศษ สภาผู้แทนราษฎร เพื่อสนับสนุนโครงการนิคมอุตสาหกรรมจะนะ
โดยตัวแทนกลุ่มฯ กล่าวว่า เหตุผลที่มายื่นหนังสือวันนี้เพราะเป็นปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นใน อ.จะนะ จ.สงขลา จึงไม่สามารถอยู่นิ่งเฉย ซึ่งปัญหาเหล่านี้จะต้องถูกแก้ไขไปในทิศทางที่ดีขึ้น และอยากให้ อ.จะนะ ได้ถูกพัฒนาในทิศทางที่ดีขึ้น เพราะ 30 ปีที่แล้วเป็นอย่างไรตอนนี้ก็ยังเหมือนเดิม แต่วันนี้ได้รับโอกาสจากรัฐบาลที่จะให้เอกชนเข้าไปลงทุนใน อ.จะนะ ซึ่งพวกตนได้เฝ้าศึกษาติดตาม ดูแลโครงการนี้ว่าหากเกิดขึ้นแล้วชาวบ้านจะได้อะไร หรือจะกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างไร ซึ่งตลอดการติดตามมา 2 ปี ชาวบ้านส่วนใหญ่เห็นด้วยกับโครงการจะนะเมืองต้นแบบแห่งอนาคต เพื่อต่อยอดให้ลูกหลานได้ทำงานในพื้นที่ และในเรื่องยาเสพติดในพื้นที่ หากลูกหลานมีงานทำก็จะลดภาระตรงนี้ได้มาก ปัจจุบันนี้โครงการอุตสาหกรรมที่ไม่เป็นรูปธรรมเกิดขึ้นหลายโรงงานในอ.จะนะ ซึ่งไม่ได้มีปัญหากระทบกับชาวบ้านแต่อย่างใด ขอให้รัฐบาลเมตตาให้โครงการนี้เกิดขึ้นให้ได้ และอยากให้กมธ.ลงไปในพื้นที่เพื่อจะได้รู้ข้อเท็จจริงว่าสิ่งที่เกิดขึ้นใน อ.จะนะเป็นอย่างไร
ด้านนายสฤษดิ์พงษ์ กล่าวว่า ตนจะรับเรื่องดังกล่าวนำเข้าการพิจารณาของกมธ.เพื่อหาข้อสรุปต่อไป ซึ่งปัญหานี้ค้างคามานาน และแบ่งเป็นสองฝ่าย คือ กลุ่มสนับสนุนให้มีการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมที่ได้ให้เหตุผลว่าต้องการให้เป็นเมืองอุตสาหกรรม เพื่อเปิดโอกาสสร้างรายได้ ทำให้ลูกหลานชาวจะนะได้มีงานทำ ขณะที่อีกฝ่ายที่คัดค้านก็อ้างถึงปัญหาสิ่งแวดล้อม และมลพิษจนไม่สามารถทำงานได้ ทั้งนี้ ตนไม่อยากให้ให้แต่ละฝ่ายมีความคิดเห็นว่าอีกฝ่ายที่คิดต่างเป็นความผิด ซึ่งถ้าชาวจะนะที่อ้างว่ามีถึง 70% ที่อยากให้มีการพัฒนาก็ต้องมีการเปิดรับฟังความเห็นอย่างจริงจัง อย่างไรก็ตาม กมธ.จะมีการเชิญทั้งสองฝ่ายมาให้เหตุผลเพื่อหาข้อเท็จจริงต่อไป ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวขึ้นอยู่กับฝ่ายบริหาร คือ ครม.ที่จะตัดสินใจเรื่องนี้
