วันเสาร์, พฤศจิกายน 23, 2024
spot_img
หน้าแรกHighlight''องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก''ห่วงผลกระทบโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

”องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก”ห่วงผลกระทบโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร

องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลกเรียกร้องรัฐบาลกำหนดแนวทางแก้ปัญหา เชื้อไวรัส “ASF” ใส่ใจ ‘สวัสดิภาพสัตว์’ ห่วงผลกระทบจากวิกฤตโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร

นายโชคดี สมิทธิ์กิตติผล ผู้จัดการโครงการสัตว์ฟาร์ม องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ประเทศไทย กล่าวว่า “จากข้อมูลเมื่อปี พ.ศ. 2562 มีการประเมินว่ามีหมูถึง 1 ใน 4 ทั่วโลกจะตายจากการระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร เมื่อระบาดจะกำจัดโรคได้ยาก เพราะในปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนในการป้องกัน หมูที่ติดเชื้อมีการตายเฉียบพลันเกือบทั้งหมด ตอนนี้ในประเทศไทย เราได้เห็นจากภาพข่าวมีซากหมูที่ถูกพบในลำน้ำสาธารณะ บริเวณพื้นที่รอบๆฟาร์มหมู ฯลฯ ที่ปรากฎในสื่อหลายสำนักข่าวตลอดช่วงที่ผ่านมา ทำให้เกิดคำถามถึงวิธีการจัดการที่เหมาะสม มีมนุษยธรรมที่สอดคล้องกับหลักปฏิบัติสากลเพื่อลดความเสี่ยงในการระบาดของโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ทั้งหมดเพื่อจัดการทำให้สัตว์ที่ได้รับผลกระทบให้ได้รับการปฏิบัติอย่างมีมนุษยธรรม 

After 3 days from their birth, piglets get their tails docked. With no anesthesia, a hot cauterized scissor cuts one third of their tails; Picture: a piglet getting his tail docked. (These photos are from an undisclosed location in Latin America).

เพราะหมูคือสิ่งมีชีวิตที่มีความรู้สึกกลัว เจ็บปวดและทรมาน ไม่ต่างจากคน และในฐานะที่ประเทศไทยได้เป็นสมาชิกขององค์การสุขภาพสัตว์โลก (OIE) เราจึงอยากเน้นย้ำให้ภาครัฐของไทยให้ความสำคัญกับแนวทางการจัดการอย่างมีมนุษยธรรมและสอดคล้องกับหลักปฏิบัติสากล (Humane Culling) ตามข้อแนะนำขององค์การสุขภาพสัตว์โลก เพื่อให้การควบคุมการระบาดของโรคเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและลดความเจ็บปวดทรมานของสัตว์

 

องค์กรฯ ได้พบกรณีตัวอย่างที่เกิดขึ้นในต่างประเทศที่เราได้รับรายงานพบว่า มีการฝัง เผาหรือทำให้จมน้ำในขณะที่สัตว์ยังมีชีวิต ซึ่งเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้และขัดต่อหลักการสวัสดิภาพสัตว์อย่างรุนแรง เราไม่อยากเห็นสิ่งนี้เกิดขึ้นในประเทศไทย เพราะแม้ขณะมีชีวิตอยู่หมูเป็นสัตว์ที่ต้องทนทุกข์ทรมานตลอดชีวิตจากการถูกเลี้ยงดูอย่างแออัด ปัจจุบันมีจำนวนหมูประมาณร้อยละ 60 ของโลกถูกเลี้ยงอยู่ในเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีแม่หมูถึงร้อยละ 75 ที่ต้องมีชีวิตในกรงขังตลอดชีวิต เพียงเพื่อผสมพันธุ์ และใช้ชีวิตในกรงเหล็กขนาดไม่ใหญ่ไปกว่าตู้เย็นซึ่งไม่สามารถหันหลังกลับได้ 

นอกจากนี้ ลูกหมูที่เกิดใหม่จะถูกพรากจากแม่หมูโดยเร็ว โดยลูกหมูส่วนหนึ่งจะถูกนำไปสู่การตัดตอนอวัยวะ การตัดหาง การกรอฟัน หรือการตอนสด การเลี้ยงหมูโดยไม่ใส่ใจสวัสดิภาพสัตว์นี้เป็นเหตุสำคัญที่ทำให้หมูเกิดความเครียดและอ่อนแอง่าย ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงในการติดโรคต่างๆ รวมถึงโรค ASF และยังเป็นสาเหตุที่สำคัญที่ทำให้เกิดการใช้ยาปฏิชีวนะจำนวนมหาศาลและเกินความจำเป็นในฟาร์ม ซึ่งนำไปสู่การเกิดเชื้อซุปเปอร์บั๊กส์ (Superbugs) หรือแบคทีเรียที่มีฤทธิ์ต่อต้านยาปฏิชีวนะขึ้น เชื้อซุปเปอร์บั๊กส์นี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพของมนุษย์ และสิ่งแวดล้อมอีกด้วย 

นางสาวโรจนา สังข์ทอง ผู้อำนวยการองค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ประเทศไทย เสริมว่า “ทุกวันนี้นอกจากปัญหาหมูแพงแล้วประชาชนต่างหวาดกลัวกับวิกฤตโรค ASF ทำให้แทบจะไม่กล้าบริโภคหมู หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องต้องเร่งสื่อสารและต้องเปิดเผยรายงานและข้อมูลการระบาดอย่างโปร่งใสและตรวจสอบได้ และต้องเร่งทบทวนนโยบายและมาตรการที่มีอยู่ในการเฝ้าระวัง ป้องกันและควบคุมโรค รวมถึงการกำจัดซากสุกรให้สอดคล้องกับหลักปฏิบัติสากลที่สามารถนำไปสู่การปฏิบัติจริงได้ และส่งเสริมให้ทุกภาคส่วน โดยเฉพาะเกษตรผู้ได้รับผลกระทบและภาคประชาสังคมเข้ามีส่วนร่วมอย่างครอบคลุมและมีนัยสำคัญ”  
 

“จากวิกฤตโรค ASF ในครั้งนี้ ควรจะต้องเป็นการจุดชนวนให้เกิดความจำเป็นที่จะต้องมีการปฏิรูประบบอาหารที่เป็นอยู่อย่างจริงจังและเร่งด่วน โดยจะต้องคำนึงถึงความหลากหลายของแหล่งที่มาของโปรตีน รวมทั้งยกระดับสวัสดิภาพของสัตว์เพิ่มมากขึ้น เพื่อให้ระบบการผลิตอาหารของเรามีความยั่งยืนและปลอดภัย ทั้งต่อผู้บริโภค ต่อสัตว์และต่อสิ่งแวดล้อม” นายโชคดี กล่าว

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img