กรมวิทย์ฯพบโอมิครอน BA 2 กว่า 14 ราย ขออย่ากังวล ยังไม่พบมีฤทธิ์มากกว่า BA 1 ระบุเสียชีวิต 1 ราย เป็นหญิงสูงอายุ มีโรคประจำตัว แนะกลุ่มเสี่ยงฉีดวัคซีนกระตุ้น
เมื่อวันที่ 26 ม.ค.65 ที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ แถลงข่าวกรณีพบเชื้อโควิด -19 สายพันธุ์โอมิครอน BA 2 ว่า จากการเก็บข้อมูลการถอดรหัสพันธุ์กรรมทั้งตัวของเชื้อโควิด -19 และได้ส่งข้อมูลไปที่ GISAID วันที่ 19 ม.ค. 2565 พบโอมิครอน BA 2 ทั้งหมด 14 ราย มาจากต่างประเทศ 9 ราย ติดเชื้อในประเทศ 5 ราย ส่วนอีก 8 ราย อาจจะปรากฏให้เห็น 1-2 วัน ดังนั้นเราพบ BA 2 มาราว ๆ 2 สัปดาห์ ทั้งนี้ BA 2 ข้อมูลยังน้อยที่จะบอกว่าแพร่เร็วหรือไม่ แต่หากสัดส่วนเปลี่ยนเร็ว จาก 2 % เป็น 5% หรือ 10 % ก็อาจจะบอกได้ว่าแพร่เร็ว
ส่วนเรื่องอาการนั้น ในจำนวนผู้ติดเชื้อ14 ราย มี 1 ราย เสียชีวิต เป็นหญิงสูงอายุ มีโรคประจำตัวป่วยติดเตียง ที่ภาคใต้ ดังนั้นยังบอกไม่ได้ว่ารุนแรงกว่า BA 1 หรือไม่ แต่จากการส่งไปผล 7 พันตัวย่างทีเป็นเชื้อโอมิครอนให้กรมการแพทย์ติดตาม พบเสียชีวิต 7 ราย คิดเป็น 0.1 % ถือว่าอัตราการเสียชีวิตค่อนข้างต่ำ ส่วนอาการหนัก ปานกลางอยู่ระหว่างจัดทำ รวมถึงรายงานว่าฉีดวัควีนแล้วหรือไม่ด้วย
นพ.ศุภกิจ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ประเทศไทยมีกระบวนการตรวจจับการกลายพันธุ์ได้เร็วพอ และสถานการณ์ประเทศไทยก็เหมือนหลายประเทศที่พบว่าเป็นโอมิครอนส่วนใหญ่ ซึ่งแพร่เร็ว แต่อาการไม่รุนแรง การป่วยหนัก เสียชีวิตน้อย แต่ย้ำว่าต้องฉีดวัคซีนบู๊สเตอร์โดส โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง ผู้สูงอายุ ซึ่งกราฟการระบาดของสายพันธุ์โอมิครอนชัดเจนว่าคนแข็งแรง มีภูมิมากพอโอกาสเสียชีวิตน้อยมาก ส่วนกลุ่มเสี่ยงกราฟก็จะชัน ดังนั้นกลุ่มเสี่ยง สูงอายุต้องมารับวัคซีนเข็มกระตุ้นให้มาก
เมื่อถามว่าทั่วโลกมี BA 2 มากน้อยแค่ไหน นพ.ศุภกิจ กลาวว่า ตามที่มีการรายงานเข้าระบบ GISAID เป็น BA 2 จำนวน 2.1 หมื่นราย ส่วน BA 1 จำนวน 4.2 แสนราย หรือ 1 ใน 40 เศษๆ แต่จะใช้สัดส่วนนี้ 100 % ไม่ได้ เพราะปัจจุบันมีการติดเชื้อโอมิครอนทั่วโลกนับล้านคน แต่เมื่อเราตรวจเจอแบบนี้ สัดส่วนเช่นนี้ก็ถือว่าไม่มาก แต่มีที่ประเทศเดนมาร์ค ที่รู้สึกสัดส่วนเพิ่มสูงขึ้นจึงต้องจับตา ส่วนไทยพบ 14 ราย ในจำนวนคนติดเชื้อกว่า 1 หมื่นราย ต้องจับตาเช่นกัน แต่ไม่ต้องวิตกเพราะยังไม่พบว่ามีฤทธิ์เหนือกว่า BA 1 แบบเห็นได้ชัด เพราะในช่วงโอมิครอนระบาดมา 2-3 เดือน หากมีฤทธิ์มากก็น่าจะแซงขึ้นมาได้พอสมควร แต่ก็ไม่ได้เยอะนัก ส่วนการกายพันธุ์อื่นๆ ทั่วโลกก็ต้องช่วยกันจับตา
เมื่อถามถึงการเฝ้าระวังการกลายพันธุ์ชายแดนนั้นก็ต้องมีการสุ่มตรวจเป็นประจำอยู่แล้ว แต่ทุกคนต้องช่วยกันเพราะลักลอบข้ามแดนไม่ตรวจอะไรเลยนั้นน่ากลัว จะเจอเมื่อป่วยแล้วไม่ช่วยอะไร ดังนั้นขอความร่วมมืออยากให้ทุกคนเข้มงวด รวมถึงคนจะนำเข้าแรงงานเถื่อนต้องเข้าใจหลักการตรงนี้.