วันอังคาร, พฤศจิกายน 26, 2024
spot_img
หน้าแรกNEWSสสส.ชวนมอบความรักความปลอดภัยให้คนข้ามทางม้าลาย ชูแคมเปญ “รักต้องรอด”
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

สสส.ชวนมอบความรักความปลอดภัยให้คนข้ามทางม้าลาย ชูแคมเปญ “รักต้องรอด”

สสส.ผนึกภาคี  ชวนมอบความรักความปลอดภัยให้คนข้ามทางม้าลาย  สร้างความปลอดภัยทางถนน ชูแคมเปญ “รักต้องรอด” พร้อมเสวนาถอดรหัสคู่รัก 3 วัย จับมือก้าวผ่านมรสุมชีวิต แนะ “คำพูดดี” ไม่มุ่งหาคนผิด พร้อมปรับจูน ช่วยเหลือกัน ถอยห่างจากอบายมุข-ปัจจัยเสี่ยงทุกรูปแบบ

เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ที่เกาะพญาไท อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ เครือข่ายพัฒนาคุณภาพชีวิต เครือข่ายเยาวชนลดปัจจัยเสี่ยง มูลนิธิเด็กเยาวชนและครอบครัว มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล จัดกิจกรรมรณรงค์เนื่องในวันแห่งความรัก “วันวาเลนไทน์ 2022” ตอน “รักต้องรอด” พร้อมทั้งขบวนรณรงค์ “มอบความรัก ความปลอดภัยให้กับคนข้ามทางม้าลาย”และจัดแสดงละครสั้นสะท้อนปัญหา “รักยืนหยัด…(ไม่ว่าเจออุปสรรคแค่ไหน) โดยทีมเฉพาะกิจเธียเตอร์

นางสาวรุ่งอรุณ ลิ้มฬหะภัณ ผอ.สำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงทางสังคม สสส. กล่าวว่า เนื่องในโอกาสวันแห่งความรัก สสส.และภาคีเครือข่ายจึงร่วมกันจัดกิจกรรม “รักต้องรอด” เพื่อสื่อสารให้เห็นถึงความสำคัญของคู่ชีวิต สร้างค่านิยมเชิงบวก ลด ละ เลิกปัจจัยเสี่ยงที่มีผลกระทบต่อความสัมพันธ์ไม่ว่าจะเป็นเหล้า บุหรี่ ยาเสพติด และใช้โอกาสนี้รณรงค์มอบความรักสร้างความปลอดภัยให้คนข้ามทางม้าลายด้วย ทั้งนี้ข้อมูลจาก กองป้องกันการบาดเจ็บ กรมควบคุมโรค ปี 2560-2564 พบว่า มีกลุ่มคนเดินถนนถูกรถชนเสียชีวิต ประมาณ 5%  ของผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน และในจำนวนนี้ครึ่งนึง คือ คนข้ามทางม้าลาย หรือประมาณมากกว่า 200 คนต่อปี และอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ มากสุด และจากการสำรวจพฤติกรรมการหยุดรถบริเวณทางม้าลายใกล้สัญญาณไฟจราจร 12 จุดในกรุงเทพฯของมูลนิธิไทยโรดส์ (ThaiRoads Foundation) ระหว่างวันที่ 25-27 ม.ค.ที่ผ่านมาพบว่ามีเพียง 11% หยุดรถให้คนข้าม แต่อีก 89% ไม่ยอมหยุดรถ โดยเป็นจักรยานยนต์ 92% รถยนต์ 86% และรถโดยสาร 80%

“วาเลนไทน์ปีนี้ แม้จะอยู่ช่วงการระบาดของโควิด-19 การแสดงออกของความรักก็ยิ่งต้องใส่ใจ เพิ่มความห่วงใย และรักอย่างปลอดภัย รักอย่างไม่ประมาท รักอย่างไม่ละเลยและทำร้ายกัน มอบความปรารถนาดีในการดูแลกันในรูปแบบชีวิตวิถีใหม่ สวมหน้ากาก เว้นระยะห่าง และล้างมือบ่อย ๆ รวมถึงลดละเลิกจากอบายมุข และปัจจัยเสี่ยงทั้งปวง  ให้สมกับชื่องานในวันนี้ว่า “รักต้องรอด” สสส. ขอเชิญชวนประชาชนร่วมสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน มอบความรัก ความปลอดภัยให้กับคนข้ามทางม้าลาย ลดความสูญเสีย ลดอุบัติเหตุบนท้องถนน” นางสาวรุ่งอรุณ กล่าว

นายไพบูลย์ เนียมมณี ชาวชุมชนวัดโพธิ์เรียง เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ กล่าวว่า ตนเองดื่มเหล้าหนักมาตั้งแต่เป็นวัยรุ่นจนมีภรรยาก็ไม่เคยคิดถึงอนาคตว่าจะเป็นอย่างไร เงินทองหาได้ก็หมดไปกับการซื้อเหล้า เกิดการทะเลาะเบาะแว้ง ทำลายข้าวของ จนได้เข้ารับการตรวจสุขภาพประจำปี แพทย์เตือนว่าสภาพตับเริ่มแย่ ตนจึงลดการดื่มลง แต่พอเจอเพื่อนก็กลับมาดื่มหนักอีกเหมือนเดิม จนกระทั่งได้เข้าร่วมกับเครือข่ายชุมชนวัดโพธิ์เรียงเพื่อรณรงค์ให้คนลด ละ เลิก ปัจจัยเสี่ยง และจุดเปลี่ยนสำคัญคือลูกที่กำลังจะรับปริญญา จึงตัดสินใจเลิกเหล้าเพื่อเป็นของขวัญให้ลูก ดังนั้นวาเลนไทน์ปีนี้ครอบครัวไหนที่ยังอยู่กับปัจจัยเสี่ยงก็ขอเป็นกำลังใจให้สามารถลด ละ เลิกให้ได้ นอกจากช่วยให้ความสัมพันธ์ในครอบครัวดีขึ้น สุขภาพก็ดีขึ้นด้วย

นางพรรณธิ วงศ์พันธ์ ภรรยาเหยื่อเมาแล้วขับ กล่าวว่า เมื่อหลายปีก่อนระหว่างที่ตนและสามีขี่จักรยานยนต์กลับบ้าน ได้ถูกคนเมาขับรถชนแล้วหนี ตนเองได้รับบาดเจ็บไม่มากแต่สามีอาการหนักต้องเข้าไอซียูและไม่สามารถเดินได้ทำให้สภาพครอบครัวต้องเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ลูก 2 คน ที่ขณะนั้นอายุ 9 ขวบ และ 7 ขวบต้องมาช่วยกันดูแลพอทุกด้าน ส่วนตนก็ต้องทำงานเพื่อเป็นเสาหลักของครอบครัว เป็นช่วงที่ยากลำบากแต่ทุกคนในครอบครัวไม่มีใครทิ้งกัน ช่วยกันจับมือก้าวข้ามมรสุมชีวิตมาได้ อย่างไรก็ตามอยากฝากถึงคนที่ชอบดื่ม ชอบเที่ยว ไม่ควรขับรถเพราะเสี่ยงเกิดอันตรายกับตัวเอง และสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น “ดีที่สุดคือ ดื่มไม่ขับ”ขณะเดียวกันก็ขอเป็นกำลังใจให้กับครอบครัวเหยื่อเมาขับทุกคนว่าอย่าท้อแท้ ล้มได้ก็ลุกได้

นางสาวเมลินญาน์ ศิวธนัยภัสร์ หรือ ครูจูน ผู้เคยป่วยหนักจนเดินไม่ได้ กล่าวว่า คบหากับแฟนมานาน หลังเรียนจบทำงานหนักทั้งทำขนม และสอนศิลปะ ไม่ค่อยได้พักผ่อน จนร่างกายเริ่มไม่ไหว จนกระทั่งเดินไม่ได้ ถึงยอมไปพบแพทย์ พบว่าเซลล์ภูมิอักเสบ คล้ายกับโรครูมาตอยด์ เป็นผลมาจากการใช้ร่างกายหนักไม่ได้พักผ่อน ใช้เวลารักษาอยู่ 4 เดือน โดยมีแฟนคอยดูแลตลอด พอหายจึงแต่งงานกัน แต่หลังจากนั้น 2 สัปดาห์แฟนถูกใส่ร้ายติดคุก ทำให้ต้องห่างกัน และมีปากเสียงกันขณะเกิดปัญหา นับเป็นมรสุมที่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง หลังแฟนออกจากคุกได้มีการปรับความเข้าใจกัน ได้มองเห็นว่าการพูดจาที่บางครั้งหลงลืมนึกถึงจิตใจอีกฝ่าย จึงปรับปรุงพฤติกรรม ช่วยกันแก้ปัญหาไม่โทษว่าเป็นความผิดใคร ดังนั้นขอฝากคู่รักที่กำลังเจอปัญหา ความรักเป็นสิ่งสวยงาม ขอให้ระมัดระวังคำพูด ให้กำลังใจกัน ประคับประคองกันแล้วทุกอย่างจะผ่านพ้นไปได้

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img