สธ.จัด “ฝีดาษลิง” เป็นโรคต้องเฝ้าระวัง ชี้ยังพบการระบาดนอกราชอาณาจักร ระบุไทยยังไม่พบคนติดเชื้อ – กลุ่มเสี่ยง
เมื่อวันที่ 25 พ.ค.ที่กระทรวงสาธารณสุข นพ.จักรรัฐ พิทยาวงศ์อานนท์ ผู้อำนวยการกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า เมื่อวันที่ 24 พ.ค.2565 คณะกรรมการวิชาการตามพรบ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 มีมติเห็นชอบให้จัดโรคฝีดาษลิง (monkeypox)เป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง และเป็นโรคระบาดนอกราชอาณาจักรและในบางประเทศที่มีการระบาดภายในประเทศแล้ว ยังไม่จัดเป็นโรคติดต่ออันตราย เนื่องจากเบื้องต้นยังไม่มีผู้ป่วยในประเทศไทย ลักษณะการแพร่กระจายของโรคเป็นลักษณะคนใกล้ชิดกันมาก ๆ เฉพาะกลุ่ม ยังไม่มีการแพร่ระบาดเป็นวงกว้างไปหลายๆทวีป และอัตราป่วยตายยังเป็นสายพันธุ์ที่ป่วยรุนแรงน้อย
“ประเทศไทยมีการคัดกรองผู้เดินทางมาจากประเทศเสี่ยงตั้งแต่ 24 พ.ค.2565 ยังมาไม่พบผู้ป่วยสงสัยและขณะนี้ในประเทศไทยยังไม่มีผู้ป่วยโรคนี้มาก่อน ซึ่งผู้ป่วยโรคนี้ส่วนใหญ่หายเองได้ แต่สามารถพบผู้ป่วยมีอาการรุนแรงได้ ในเด็กที่มีปัญหาด้านสุขภาพส่วนบุคคล เช่น มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง อาการแทรกซ้อน เช่น การติดเชื้อซ้ำซ้อน ปอดอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ การติดเชื้อเข้ากระแสเลือด และการติดเชื้อที่กระจกตา อาจนำไปสู่การสูยเสียการมองเห็น”นพ.จักรรัฐกล่าว และว่า ขณะนี้มีรายานผู้เดินทางจากยุโรป รวมถึงประเทศเสี่ยงที่เข้ามายังประเทศไทยเฉลี่ยวันละประมาณ 1 หมื่นราย
นพ.จักรรัฐ กล่าวอีกว่า ข้อมูลทางระบาดวิทยาของโรคฝีดาษลิง จากการรายงานข้อมูลผู้ป่วยทั่วโลก ณ วันที่ 23 พ.ค.2565 พบว่า จาก 123 ราย เป็นชาย 122 ราย หญิง 1 ราย ส่วนใหญ่อายุระหว่าง 20-59 ปี อาการป่วยที่สำคัญ ผื่น/ตุ่มนูน 98 เปอร์เซ็นต์ ไข้ 39 เปอร์เซ็นต์ ต่อมน้ำเหลืองโต 2 เปอร์เซ็นต์ และไอ 2 เปอร์เซ็นต์ ลักษณะของผื่น เป็นแผล Ulcer 75 เปอร์เซ็นต์ ตุ่มน้ำใส 9 เปอร์เซ็นต์ ผื่นนูน/ตุ่มหนอง 2 เปอร์เซ็นต์ บริเวณที่พบผื่น ส่วนใหญ่พบบริเวณเนื้อเยื่ออ่อน เช่น บริเวณอวัยวะเพศ 39 เปอร์เซ็นต์ ปาก 30 เปอร์เซ็นต์ และรอบทวารหนัก 2 เปอร์เซ็นต์
ทั้งนี้ ฝีดาษลิงมี 2 สายพันธุ์ คือ West African Clade และCentral African Clade โดยสายพันธุ์ที่เจอในผู้ป่วยทั่วโลก จากการตรวจ 9 ราย พบเป็นสายพันธุ์ West African Clade มีอัตราป่วยตาย 1 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งอัตราป่วยตายต่ำกว่า สายพันธุ์ Central African Clade ที่มีอัตราป่วยตาย 10 เปอร์เซ็นต์