สธ.เปิดเกณฑ์พื้นที่ถอดหน้ากากอนามัยต้องเป็นจังหวัดสีเขียวและจังหวัดสีฝ้า ฉีดวัคซีน 3 เข็มขึ้นไปเกิน 60 %
เมื่อวันที่ 25 พ.ค. 65 ที่กระทรวงสาธารณสุข นพ.จักรรัฐ พิทยาวงศ์อานนท์ ผอ.กองระบาดวิทยา การควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข แถลงสถานการณ์โรคโควิด 19 ว่า ขณะนี้สถานการณ์ทั่วโลกดีขึ้น และเริ่มผ่อนคลายมาตรการ แต่หลายประเทศ ใน่ส่วนของไทยเรายังคงการเตือนภัยโควิดอยู่ที่ระดับ 3 หากสถานการณ์ ติดเชื้อลดลงป่วยหนักเสียชีวิตลดลงอีกก็จะสามารถปรับการเตือนภัยไปสู่ระดับ 2 มีการผ่อนคลายมากขึ้น ประชาชนจะได้ปฏิบัติตัวใช้ชีวิตให้ปกติมากขึ้น และเตรียมความพร้อมรับมือการระบาดเป็นกลุ่มก้อน โดยแจ้งให้เจ้าหน้าที่โรงพยาบาล สถานพยาบาล และทีมสอบสวนโรค
ขณะนี้สถานการณ์ในไทยดีขึ้น ตัวเลขผู้เสียชีวิตลดลงต่อเนื่อง ขณะนี้เป็นช่วงขาลงซึ่งทุกคนสบายใจ ผ่อนคลายมากขึ้น แต่ยังต้องเน้นย้ำว่าปลอดภัยแต่จะต้องสร้างภูมิคุ้มกันให้กลุ่มเสี่ยง 608 และวัยเรียน 5-11 ปีจะต้องรณรงค์ให้มีการฉีดวัคซีนให้มากขึ้น
“การถอดหน้ากากนั้น จะเริ่มในบางพื้นที่ และบางสถานที่ก่อน เช่นที่โล่งแจ้ง เบื้องต้นที่จะได้การผ่อนคลายก่อนคือจังหวัดสีเขียว และจังหวัดสีฟ้า โดยกระทรวงสาธารณสุขสามารถประกาศได้ และแจ้งให้ศบค.รับทราบ หรือส่งเรื่องให้ทางศบค.เป็นผู้พิจารณาก็ได้” นพ.จักรรัฐ กล่าว
นพ.ทวีทรัพย์ ศิรประภาศิริ ผู้ทรงคุณวุฒิ กรมควบคุมโรค กล่าวว่า ศูนย์ประเมินประสิทธิภาพประสิทธิผลวัคซีน กรมควบคุมโรค ได้ศึกษากลุ่มที่มีการฉีดวัคซีนทุกสูตรในประเทศไทย เทียบกับคนที่ไม่ได้ฉีดวัคซีน ในช่วง 3 เดือนแรกปี 2565 ซึ่งเป็นช่วงการระบาดของสายพันธุ์โอมิครอน โดยกลุ่มตัวอย่างคือคนที่ตรวจ ATK และ PCR เป็นลบ กว่า 5 แสนราย พบว่าคนที่ฉีดวัคซีน 2 เข็ม แทบจะป้องกันการติดเชื้อไม่ได้เลย ยกเว้นคนที่เพิ่งฉีดใหม่ๆ แต่พบว่าป้องกันอาการรุนแรง และเสียชีวิตได้ 75 เปอร์เซ็นต์ ส่วนคนที่ฉีด 3 เข็ม ป้องกันการติดเชื้อได้ 15 เปอร์เซ็นต์ แต่ป้องกันป่วยหนัก เสียชีวิตได้ 93% ส่วนคนที่ฉีด 4 เข็ม ป้องกันการติดเชื้อได้สูงขึ้น และป้องกันอาการหนัก เสียชีวิตได้มาก ซึ่งในช่วง 3 เดือนที่สำรวจนั้นคนฉีดเข็ม 4 แล้วไม่มีรายงานการเสียชีวิตเลย
“การศึกษาครั้งนี้เป็นการยืนยันว่าวัคซีนที่ใช้ในประเทศไทยทุกสูตร มีประสิทธิผลสูงในการป้องกันการป่วยและเสียชีวิต เมื่อมีการวิเคราะห์ย่อยลงไปถึงสูตรที่มีการฉีดในประเทศไทย ทุกสูตร 3 เข็ม ป้องกันการป่วยรุนแรงและเสียชีวิตได้ ไม่แตกต่างกัน ดังนั้นท่านไว้วางใจได้จะทำให้มั่นใจในการใช้ชีวิตต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นหากเราอยากเปิดประเทศอยากกลับไปใช้ชีวิตปกติ ไม่อยากเห็นการป่วยเข้าโรงพยาบาล จึงต้องฉีดวัคซีนให้ได้มากที่สุดโดยเฉพาะการฉีด 3 เข็มขึ้นไปเพื่อป้องกันการป่วยรุนแรง” นพ.ทวีทรัพย์ กล่าว
นพ.ทวีทรัพย์ กล่าวต่อว่า ส่วนการเปิดหน้ากากนั้นทางกระทรวงมได้กำหนดว่าจะเริ่มวันไหน แต่ประเมินเป็นรายพื้นที่ทั่งสถานการณ์ที่ดีขึ้น และมีการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นเกิน 60-70 เปอร์เซ็นต์ ในหลายประเทศที่มีการเปิดหน้ากาก เปิดประเทศกันนั้น พบว่าประชากรของเขามีการฉีดวัคซีนไปแล้วจำนวนมาก แต่จากข้อมูลการฉีด 3 เข็มขึ้นไป ในประเทศไทยนั้นพบว่าในคนทั่วไปฉีดแค่ 40 เปอร์เซ็นต์ เหลืออีกจำนวนมากที่ต้องมาฉีด ผู้สูงอายุฉีดแค่ 43 เปอร์เซ็นต์ เหลืออีกกว่า 6 ล้านคนที่ต้องฉีด
ซึ่งคนที่ไม่ยอมฉีดนั้นพบว่า 1.คิดว่า 2 เข็มก็พอ จึงต้องย้ำว่ายังไม่พอ เพราะโอมิครอนความรุนแรงลดลงในคนที่สุขภาพดี คนที่ฉีดวัคซีนครบ แต่คนที่เป็นกลุ่มเสี่ยง 608 คนที่ฉีดวัคซีนยังไม่ครบนั้น โอมิครอนถือว่ายังมีความรุนแรงอยู่ 2.ไม่ฉีดเพราะกลัวผลข้างเคียง ก็ต้องย้ำว่าจากการฉีดวัคซีนจำนวนมาก ไม่พบผลข้างเคียงรุนแรง และส่วนใหญ่หายได้เอง จึงขออย่ากังวล ขอให้พากลุ่มเสี่ยง ผู้สูงอายุมาฉีดวัคซีน เพื่อให้การเปิดประเทศมีความปลอดภัย
เมื่อถามว่าหากโควิดเป็นโรคประจำถิ่นแล้ว แผนการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิดของไทยจะเป็นอย่างไร นพ.ทวีทรัพย์ กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องมีการหารือกันต่อไป โดยพิจารณาเรื่องของสถานการณ์การระบาด สายพันธุ์ที่มีการระบาด ภูมิคุ้มกันจากวัคซีนที่ฉีดนั้นอยู่ได้นานแค่ไหน ซึ่งตอนนี้มีรายงานว่าสูงสุดคือ 6 เดือน