ศาลฎีกานักการเมืองสั่งจำคุก 2 ปีอดีตส.ส.เพื่อไทย ” นริศร ทองธิราช” เสียบบัตรแทนเพื่อนเมื่อปี 56 ลดโทษเหลือติด 16 เดือนศาลชี้เป็นเรื่องร้ายแรง ไม่รอลงอาญา
เมื่อวันที่ 22 ก.ย.65 ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สนามหลวง ศาลได้อ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ อม.36/2562 ที่อัยการสูงสุด เป็นฟ้องโจทก์ฟ้อง นายนริศร ทองธิราช อดีต ส.ส.สกลนคร พรรคเพื่อไทย เป็นจำเลย กรณีเสียบบัตรแทนกัน
โดยอัยการโจทก์ระบุฟ้องความผิดสรุปว่า เมื่อวันที่ 10 ก.ย. 2556 เวลากลางวัน มีการประชุมร่วมกันของรัฐสภา วาระที่สอง เพื่อพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม เวลา 17.33 น. จำเลยนำบัตรอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งเป็นบัตรจริงของจำเลยและของสมาชิกรัฐสภารายอื่นหลายใบเสียบเข้าไปในเครื่องออกเสียงลงคะแนนและกดปุ่มเพื่อแสดงตนและลงมติ ต่อมาวันที่ 11ก.ย.2556 เวลา 16.43 น. จำเลยได้นำบัตรอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งเป็นบัตรจริงของจำเลยและของสมาชิกรัฐสภารายอื่นจำนวนหลายใบเสียบเข้าไปในเครื่องออกเสียงลงคะแนนและกดปุ่มเพื่อแสดงตนแล้วลงคะแนน ขอให้ลงโทษตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตพ.ศ.2543 มาตรา 123/1 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 12 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 9 การกระทำของจำเลยเป็นความผิด ขอให้ลงโทษและนับโทษจำเลยต่อจากโทษจำคุกในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อม.8/2565 ของศาลนี้ จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลพิเคราะห์แล้วมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ จำเลยเบิกความรับว่า บุคคลที่ปรากฏในคลิปวีดิทัศน์ คือจำเลย เจือสมกับคำเบิกความของพยาน ศาลส่งคลิปวัดิทัศน์ไปตรวจพิสูจน์แล้วไม่พบร่องรอยการตัดต่อ จึงฟังได้ว่าจำเลยนำบัตรหลายใบเสียบเข้าไปในเครื่องลงคะแนนตามที่ปรากฏภาพในคลิปวีดิทัศน์ทั้ง 3 คลิปจริงซึ่ง พยานโจทก์หลายปากเบิกความว่า บัตรในคลิปวีดิทัศน์เป็นบัตรจริง และมีจำนวนมากกว่า 1 ใบ เหตุที่ทราบว่าเป็นบัตรจริงเนื่องจากเป็นบัตรที่มีรูปถ่าย
การกระทำของจำเลยเป็นการดำเนินการตามขั้นตอนอันส่งผลให้ปรากฎผลการลงคะแนนหลายครั้งสำหรับบัตรแต่ละใบได้ จึงฟังว่าจำเลยลงคะแนนแทนสมาชิกรายอื่น เมื่อไม่มีการออกบัตรใหม่แทนบัตรใบเดิมจึงไม่อยู่ในวิสัยที่จำเลยจะมีบัตรจริงหลายใบดังที่อ้าง บัตรเดิมไม่สามารถลงคะแนนได้จึงไม่มีประโยชน์ที่จำเลยจะต้องนำบัตรที่ถูกยกเลิกแล้วมาใช้บัตรจริงและบัตรสำรองจะแสดงผลการลงคะแนนเพียงครั้งเดียว ซึ่งไม่มีเหตุที่จำเลยจะต้องใส่ทั้งบัตรจริงและบัตรสำรองลงในเครื่องอ่านบัตร
ภาพตามคลิปวีดิทัศน์ปรากฎว่ามีสัญญาณไฟกระพริบทุกครั้งที่ใช้บัตรแต่ละใบ แสดงว่าเป็นบัตรอิเล็กทรอนิกส์ลงคะแนนทั้งสิ้น พยานหลักฐานฟังได้ว่า จำเลยลงคะแนนแทนสมาชิกรายอื่นจริง อีกทั้งเสียงที่ปรากฏในคลิปวีดิทัศน์ตรงกับข้อความรายงานการประชุมรัฐสภาซึ่งได้บันทึกถ้อยคำของผู้เข้ารวมประชุมไว้แทบทุกถ้อยคำย่อมนำมาเปรียบเทียบกับเสียงที่ปรากฎในคลิปวีดิทัศน์ได้ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า การกระทำของจำเลยตามที่ปรากฏในคลิปวีดิทัศน์เป็นเหตุการณ์ตามฟ้องแม้ต่อมาคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้มีประกาศให้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพ.ศ. 2550 สิ้นสุดลง ยกเว้นหมวด 2 แต่ก็หาได้มีผลเป็นการลบล้างว่าไม่มีการกระทำของจำเลยอันชอบด้วยกฎหมายเกิดขึ้น หรือมีผลกลับกลายเป็นว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดที่จำเลยอ้างเอกสิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา130 วรรคหนึ่ง
ศาลเห็นว่า การใช้เอกสิทธิ์ดังกล่าวต้องชอบด้วยข้อบังคับการประชุมรัฐสภา ตลอดจนอยู่ภายใต้คำปฏิญาณตน เอกสิทธิ์ดังกล่าวจึงมิได้เป็นข้อยกเว้นความรับผิดทางอาญาให้จำเลยสามารถลงมติแทนสมาชิกรัฐสภารายอื่นได้ การกระทำของจำเลยตามฟ้องเป็นการกระทำต่างวันเวลากัน ความผิดในแต่ละคราวอาศัยเจตนาในการกระทำความผิดแยกต่างหากจากกันได้ จึงเป็นความผิด 2 กรรม
พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 129/1 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91
องค์คณะผู้พิพากษาเสียงข้างมากให้ลงโทษจำคุกกระทงละ 1 ปี รวม 2 กระทง เป็น จำคุก 2 ปี คำเบิกความของจำเลยเป็นประโยซน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีลดโทษให้ 1ใน 3 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกกระทงละ 8 เดือน จำนวน 2 กระทง รวมจำคุกจำเลยไว้ทั้งสิ้น 16 เดือน
พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรง แม้ไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยกระทำความผิดใดๆ มาก่อนก็ไม่มีเหตุเพียงพอที่จะรอการลงโทษแก่จำเลยได้ ส่วนที่โจทก์มีคำขอให้นับโทษจำเลยต่อจากโทษของจำเลยในคดีหมายเลขดำที่ อม.8/2565 ของศาลนี้นั้น เนื่องจากคดีดังกล่าวศาลยังมิได้มีคำพิพากษา คำขอส่วนนี้จึงให้ยก