“ยุทธพงศ์” ชี้ “ชัชชาติ” ไม่เกี่ยวปมบีทีเอสทวงหนี้ กทม. 4 หมื่นล้าน เกิดจากนายกฯตู่บริหารล้มเหลวใช้ ม.44 แนะโอนหนี้ทรัพย์สินรถไฟฟ้าสีเขียว-ต่อขยายคืนกลับรฟม.
เมื่อวันที่ 26 พ.ย.65 ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม รองหัวหน้าพรรคพท. กล่าวถึงกรณีปัญหาการต่อสัมปทานโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว และส่วนต่อขยายรถไฟฟ้า หลังจากบีทีเอสได้ขึ้นป้ายทวงหนี้ 4 หมื่นล้านบาท จากกรุงเทพมหานคร (กทม.) ว่าเรื่องดังกล่าวพรรค พท.เคยอภิปรายคัดค้านมาแล้ว 3 ครั้ง แต่การแก้ไขยังไม่คืบหน้า โดยปัญหาดังกล่าวสืบเนื่องมานาน การก่อสร้างส่วนต่อขยายที่ 2 ช่วงหมอชิต-แบริ่ง จ.สมุทรปราการ ซึ่งอยู่นอกเขตอำนาจกทม. ทำให้กทม.ไม่สามารถอนุมัติเบิกจ่ายเงินได้ เพราะเป็นเรื่องของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ที่เป็นเจ้าภาพดำเนินการ แต่รัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้มอบให้กทม.วิ่งรถแทนรฟม. และกทม.ได้ไปจ้างกรุงเทพธนาคม ซึ่งเป็นบริษัทลูกกทม. ซึ่งได้มีการไปจ้างบีทีเอสดำเนินการต่อ ทั้งที่เป็นทรัพย์สินรฟม.โดยให้วิ่งรถไปถึงปี 2585 โดยวิธีพิเศษไม่มีการประมูล ไม่ผ่านพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ร่วมทุน
โดยมูลค่าหนี้ 4 หมื่นล้านบาท ส่วนแรกมีค่าระบบไฟฟ้า ส่วนที่ 2 คือปล่อยนั่งฟรีตั้งแต่ปี 61 และส่วนที่ 3 เกิดจากจะควบรวมเป็นเส้นเดียวโดยให้สัมปทาน 40 ปีให้กทม.ไม่ต้องจ่ายเงิน
นายยุทธพงศ์ กล่าวด้วยว่า ปัญหาทั้งหมดที่เกิดมาจากรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม บริหารล้มเหลว ที่เลี่ยงกฎหมายแล้วไปออกคำสั่งมาตรา 44 ให้กทม.รับโอนจากรฟม. นำไปสู่การเจรจาและต่อสัมปทานล่วงหน้า ซึ่งปัญหาตรงนี้เกิดก่อนที่นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ จะมาเป็นผู้ว่าฯกทม. จึงเป็นเหตุผลที่นายชัชชาติ ไม่สามารถจ่ายเงินได้ เพราะส่วนต่อขยายดังกล่าวอยู่นอกเขตกทม. ซึ่งสภากทม.ไม่มีอำนาจเบิกจ่ายได้ ทั้งนี้ พรรค พท. จึงขอเสนอทางออกคือให้กทม.โอนหนี้และทรัพย์สินส่วนต่อขยายที่ 2 ที่วิ่งรถนอกเขตกทม.กลับคืนไปให้รฟม. ส่วนรฟม.จะนำไปวิ่งรถ หรือจะเปิดประมูลอย่างใดให้เป็นไปตามพ.ร.บ.ร่วมทุน ไม่ควรให้เป็นภาระของกทม. นอกจากนั้นคณะรัฐมนตรี (ครม.) ควรมีมติยกเลิกคำสั่งคสช.ที่ 3/2562 กรณีส่วนต่อขยายสัมปทานนอกเขตกทม.โดยเร็วที่สุด
นายยุทธพงศ์ ยังกล่าวถึงธุรกิจสีเทาของกลุ่มทุนจีน ที่มีการขยายผลจับกุม และพบว่าได้บริจาคเงินให้พรรคการเมืองใหญ่ว่า ผู้เกี่ยวข้องต้องตรวจสอบที่มาของเงินว่าได้มาจากธุรกิจผิดกฎหมาย หรือจากธุรกิจสีเทาหรือไม่ ไม่ใช่ปล่อยให้เงียบหาย การมีกลุ่มธุรกิจจีน 5 กลุ่มเกิดขึ้น สะท้อนว่าปัญหาทั้งหมดยังมีระบบส่วยอยู่เต็มไปหมด แสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวของพล.อ.ประยุทธ์ในการแก้ปัญหาทุจริตคอรัปชั่นและยาเสพติด
กรณีนี้ธุรกิจจีนสีเทา มีหลักฐานชัดเจนว่าอาจมีเจ้าหน้าที่รับส่วย และยังมีธุรกิจสีเทาชาติอื่นๆ อีก คนที่ควรออกมาชี้แจงเรื่องนี้คือ พล.อ.ประยุทธ์ แต่ขณะนี้ได้แจกหนังสือรวมผลงานรัฐบาล 3 ปี ให้ส.ส.ได้รับทราบ แต่สำหรับตนให้คะแนนการแก้ปัญหาเท่ากับศูนย์ เพราะรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ เข้ามาบริหารงานเป็นปีที่ 8 ยังจัดการปัญหาทุจริตคอรัปชั่นไม่ได้ ดังนั้นพล.อ.ประยุทธ์ ไม่ควรจะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีก ให้คนอื่นเข้ามาแก้ไขปัญหาจะดีกว่า