“เสี่ยหนู” บอกรอปชช.พิพากษา หลังลต. จับมือร่วมรัฐบาลกับใคร ยกเว้น “ก้าวไกล” ถ้าจุดยืนนี้ยังไม่เปลี่ยนก็คงลำบากที่จะทำงานด้วยกัน เพราะพรรคภูมิใจไทยมีความชัดเจนเรื่องของสถาบันพระมหากษัตริย์
วันที่ 30 ธ.ค. 65 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) กล่าวถึงแนวทางการร่วมรัฐบาลของพรรคภูมิใจไทย หลังการเลือกตั้งเที่ยวหน้าว่า การจะร่วมรัฐบาลกับใครต้องดูว่าไปรวมแล้วเสียงจะเกินหนึ่งของสภาฯ (เกิน 251 เสียง ) หรือไม่ ควบคู่กับ ประเมินจากคะแนนพรรค และคะแนนผู้สมัคร ตรงนี้จะทำให้เราทราบว่าประชาชนต้องการให้เราทำอะไร ไปในทิศทางไหน เราคงจะไม่ฝืนความต้องการของประชาชน
เมื่อถามว่า พรรคภูมิใจไทยมีเงื่อนไขอย่างไรบ้าง ในการจะจับมือหรือไม่จับมือกับพรรคการเมืองใดในการทำงานนายอนุทิน กล่าวว่า พรรคภูมิใจไทยไม่เคยมีปัญหาในเรื่องของความสัมพันธ์กับพรรคไหนอยู่แล้ว ความคิดเห็นที่ต่างกันทางการเมือง ท่าทีของเรื่องต่างๆ ที่เห็นต่างกันถือเป็นเรื่องปกติ เราไม่เห็นด้วยกับหลายเรื่องของพรรคร่วมรัฐบาลและเราก็แสดงท่าทีชัดเจน เช่น เรื่องกฎหมายกัญชาที่มีคนไม่เห็นด้วยกับพรรคภูมิใจไทย เราจะไปบังคับความคิดเขาได้อย่างไร สุดท้ายเป็นเรื่องของแต่ละพรรคที่จะพิจารณา และแสดงความคิดเห็น
“แต่เรื่องของมารยาทการอยู่ร่วมกันควรต้องสนับสนุนซึ่งกันและกันหรือไม่ ไม่เช่นนั้นต่อไปใครจะออกกฎหมายแล้วเป็นรัฐบาลผสม ก็คงต้องลุ้นกันอย่างหนักว่าพรรคร่วมรัฐบาลจะเห็นด้วยหรือไม่ แต่เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องปลีกย่อยเพราะโดยหลักพรรคภูมิใจไทยก็คือพรรคภูมิใจไทย เราก็ทำงานของเรา พยายามไม่มีความขัดแย้งกับใคร อะไรที่เป็นเรื่องที่ดีต่อบ้านเมืองเราก็เอาด้วยหมด เราได้แสดงให้เห็นมาตลอด” นายอนุทิน กล่าว
เมื่อถามว่า พรรคภูมิใจไทยมีสัญญาใจจะต้องจับมือกับรัฐบาลขั้วเดิมก่อนหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ทุกอย่างอยู่ที่ผลของการเลือกตั้งครั้งหน้า เราคงพูดตอนนี้ไม่ได้ เพราะยังไม่รู้ว่าพรรครัฐบาลมีใครบ้าง และยังไม่รู้เลยว่าพรรคพลังประชารัฐที่เคยเป็นพรรคแกนหลักจัดตั้งรัฐบาล รวมทั้ง ความเป็นไปในพรรคเป็นอย่างไร แกนนำของแต่พรรคยังตัดสินใจที่จะอยู่ด้วยกันหรือไม่ หรือจะแยกไปทำพรรคอื่นต่างหาก ในเมื่อเราไม่รู้ และเราควบคุมอะไรไม่ได้ เพราะไม่ใช่เรื่องของเรา เราก็ต้องพยายามทำให้เราแข็งแรงที่สุด ทางที่ดีที่สุดเราก็ต้องตั้งเป้าให้เราเป็นตัวของตัวเองให้ได้มากที่สุด พึ่งตัวเองให้ได้มากที่สุดก่อน เมื่อผลการเลือกตั้งออกมา ถ้ายังมีอะไรที่เราจะต้องก้าวไปในทิศทางไหนก็ค่อยพิจารณา
เมื่อถามว่า สมมุติว่าถ้าพรรคเพื่อไทยได้คะแนนเยอะเป็นแกนนำจะสามารถร่วมงานกันได้ใช่หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ถ้าพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ ได้ส.ส.เยอะ ก็ต้องไปถามพรรคเพื่อไทย แต่ในส่วนของเราก็ต้องทำให้มีจำนวนส.ส.มากที่สุด ซึ่งคนที่จะทำให้เราได้มากหรือน้อยคือประชาชน ประชาชนจะพิพากษาว่าจะให้เราทำอย่างไร เราฝืนประชาชนไม่ได้ ไม่ว่าจะมีตำแหน่งใหญ่โตแค่ไหนก็ตาม ดังนั้น เราต้องทำให้ประชาชนไว้วางใจ เชื่อมั่นว่า พรรคภูมิใจไทยรักษาคำพูด จึงเป็นที่มาของ “พูดแล้วทำ” เขาเลือกเรามาแล้วไม่เสียแรง เสียเวลา ที่เขาออกมาใช้สิทธิเลือกตั้ง
เมื่อถามว่า พรรคก้าวไกลมีจุดยืนแก้ ประมวลกฎหมายอาญา ม.112 บอกได้เลยหรือไม่ว่าไม่น่าจะร่วมงานกันได้หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า ถ้าจุดยืนนี้ยังไม่เปลี่ยนก็คงลำบากที่จะทำงานด้วยกัน เพราะพรรคภูมิใจไทยมีความชัดเจนเรื่องของสถาบันพระมหากษัตริย์ เรามีความเชื่อว่ามาตรา 112 ที่บัญญัติไว้ในปัจจุบันเป็นสิ่งที่มีไว้เพื่อธำรงรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์หรือสถาบันหลักของชาติไว้ เรามีความจำเป็นที่จะต้องยึดถือเรื่องนี้เอาไว้ เรายังพูดเหมือนเดิมว่า
“ถ้าเราไม่คิดจาบจ้วง ก้าวล่วง ให้ร้ายสถาบัน มาตรา 112 แทบจะไม่ได้มีความหมายอะไรกับคนปกติทั่วไป ซึ่งมาตรา112 ไม่ว่าจะบัญญัติอย่างไรก็แล้วแต่ พรรคภูมิใจไทยก็ไม่ได้เดือดร้อนด้วย เพราะพรรคยึดมั่นในสถาบันหลักของชาติประเทศไทยต้องมีสถาบันพระมหากษัตริย์ นี่คือสิ่งที่ไม่ใช่พรรคภูมิใจไทยคิดอย่างเดียว แต่หัวหน้าพรรค ผู้บริหารพรรค ก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน” นายอนุทิน กล่าว