“ซูเปอร์โพล” ชี้ชัดนโยบายเรียนฟรีถึงปริญญาตรีของ “ปชป.” ครองใจปชช.ส่วนใหญ่ รองลงมาคือประกันรายได้เกษตรกร “ดร.นพดล” เผยขณะนี้เกิดการปั่นกระแสอารมณ์มากกว่าเหตุผล ภาพอนาคต “ขั้วรัฐบาล” อาจตัดคะแนนกันเอง ขณะที่ “ขั้วตรงข้าม” ฐานเสียงเหนียวแน่น ผลลัพธ์อาจเหมือนเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.
เมื่อวันที่ 21 ม.ค.66 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นพดล กรรณิกา หัวหน้าโครงการวิจัย สำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) เสนอผลสำรวจเรื่อง “ความเห็นประชาชนต่อนโยบายประชาธิปัตย์” กรณีศึกษาประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ ดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ผ่านกระบวนการวิจัยเชิงทดลอง(Experimental Survey) เพื่อลดความคลาดเคลื่อนแก้ปัญหาแหล่งความคลาดเคลื่อนจากผู้ถามผู้ตอบและเครื่องมือวัด จำนวน 1,824 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 15-20 ม.ค.66 ที่ผ่านมา โดยมีค่าความคลาดเคลื่อนจากการกำหนดขนาดตัวอย่างบวกลบร้อยละ 5 ในช่วงความเชื่อมั่นร้อยละ 95
เมื่อถามความเห็นประชาชนต่อนโยบายประชาธิปัตย์ พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 74.9 เรียนฟรีถึงปริญญาตรี รองลงมาคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 64.8 ประกันรายได้จ่ายเงินส่วนต่างพืชเศรษฐกิจ ข้าว ยาง ปาล์ม มัน ข้าวโพด, ร้อยละ 58.8 ระบุฟรีนมโรงเรียน 365 วัน, ร้อยละ 58.1 ระบุปลดล็อกประมงพาณิชย์, ร้อยละ 57.7 ระบุชาวนารับ 30,000 บาทต่อครัวเรือน, ร้อยละ 57.3 ระบุออกกรรมสิทธิ์ทำกิน ให้ผู้ทำกินในที่ดินของรัฐ, ร้อยละ 57.0 ระบุธนาคารหมู่บ้าน-ชุมชน แห่งละ 2 ล้านบาท, ร้อยละ 56.8 ระบุออกโฉนดที่ดิน 1 ล้านแปลงใน 4 ปี, ร้อยละ 54.9 ระบุประมงท้องถิ่นรับ 1 แสนบาททุกปี ตามลำดับ
ที่น่าสนใจคือ เมื่อจำแนกตามจุดยืนการเมืองของประชาชน เกี่ยวกับนโยบายการศึกษาของพรรคประชาธิปัตย์ เรียนฟรีถึงปริญญาตรี พบว่า กลุ่มสนับสนุนรัฐบาลร้อยละ 81.1 เห็นด้วย, กลุ่มไม่สนับสนุนรัฐบาลร้อยละ 68.8 เห็นด้วย และกลุ่มพลังเงียบร้อยละ 76.6 เห็นด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม นโยบายฟรีนมโรงเรียน 365 วัน พบว่ากลุ่มสนับสนุนรัฐบาลร้อยละ 75.0 เห็นด้วย แต่กลุ่มไม่สนับสนุนรัฐบาลมีสัดส่วนน้อยกว่าคือร้อยละ 48.3 ที่เห็นด้วยและกลุ่มพลังเงียบร้อยละ 56.8 เห็นด้วยกับนโยบายฟรีนมโรงเรียนของพรรคประชาธิปัตย์
นอกจากนี้ เมื่อจำแนกนโยบายการเกษตรของพรรคประชาธิปัตย์ ออกตามจุดยืนการเมืองของประชาชน พบว่า นโยบายประกันรายได้จ่ายเงินส่วนต่างพืชเศรษฐกิจ ข้าว ยาง ปาล์ม มัน และข้าวโพด ในกลุ่มสนับสนุนรัฐบาลร้อยละ 75.7 เห็นด้วย นอกจากนี้ กลุ่มไม่สนับสนุนรัฐบาลร้อยละ 58.8 เห็นด้วยและกลุ่มพลังเงียบร้อยละ 62.2 เห็นด้วยเช่นกัน ในขณะที่นโยบายปลดล็อกประมงพาณิชย์ พบว่า กลุ่มสนับสนุนรัฐบาลร้อยละ 75.0 กลุ่มไม่สนับสนุนรัฐบาลแต่เห็นด้วยร้อยละ 50.9 และกลุ่มพลังเงียบเห็นด้วยร้อยละ 51.5 ที่น่าพิจารณาคือ นโยบายชาวนารับ 30,000 บาทต่อครัวเรือน พบว่า กลุ่มสนับสนุนรัฐบาลร้อยละ 73.1 กลุ่มไม่สนับสนุนรัฐบาลแต่เห็นด้วยร้อยละ 51.4 และกลุ่มพลังเงียบร้อยละ 51.2 เห็นด้วย ตามลำดับ
ดร.นพดล หัวหน้าโครงการสำรวจ กล่าววว่า ผลโพลชิ้นนี้ชี้ให้เห็นว่า นโยบายใดที่แตะต้องทำให้ประชาชนได้รับประโยชน์มากเท่าไหร่ ก็ย่อมจะทำให้ได้รับความเห็นชอบจากประชาชนที่ได้รับผลประโยชน์นั้น ๆ เช่น นโยบายเรียนฟรีถึงปริญญาตรี และนโยบายประกันรายได้ของเกษตรกรที่สัดส่วนประชากรผู้รับผลประโยชน์มีจำนวนมากแม้แต่ในกลุ่มไม่สนับสนุนรัฐบาลและกลุ่มพลังเงียบยังเห็นด้วยกับนโยบายพรรคประชาธิปัตย์ อย่างไรก็ตาม จะเห็นว่านโยบายใดมีเฉพาะกลุ่มได้รับผลประโยชน์ สัดส่วนของผู้เห็นด้วยก็จะลดหลั่นลงไปตามสัดส่วนของประชาชนกลุ่มนั้น ๆ เพราะฉะนั้น การเสนอนโยบายที่แตกต่างและโดน ๆ กลุ่มประชาชนหมู่มากกว้างขวางกว่าย่อมมีผลมากต่อกระแสนิยมได้
ดร.นพดล กล่าวต่อว่า การจุดกระแสความนิยมที่มักใช้กันช่วงเลือกตั้งของนานาประเทศคือ การปั่นกระแสอารมณ์มากกว่าความเป็นเหตุเป็นผลมี 4 อารมณ์ของคนที่มักถูกปั่นกลายเป็นปัจจัยชนะหลักได้แก่ รัก เกลียดหรือกลัว โกรธ และโลภ ให้เกิดขึ้นในหมู่ประชาชน รักคือปั่นกระแสให้เกิดความนิยมศรัทธา เกลียดหรือกลัวที่มักนิยมใช้กันเป็นหลัก เช่นในทุกวันนี้ให้เกลียด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้กลัวอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร และกระแสโกรธด้วยการสาดโคลนกันไปมา และกระแสโลภ ให้ประชาชนมุ่งเอาแต่จะได้ผลประโยชน์ใส่ตัวใส่กลุ่มและชุมชนของตน เป็นต้น ดังนั้นภาพอนาคตที่อาจเกิดขึ้นได้คือ ฝั่งรัฐบาลอาจจะแย่งคะแนนกันเองเพราะมีกลุ่มก้อนมากถึง 4-5 กลุ่ม เมื่อแตกแยกกันเอง พลังจะอ่อน ในขณะที่อีกฝั่งหนึ่งมีเพียงสองกลุ่มใหญ่ที่มักจะมีฐานเสียงเหนียวแน่นเป็นทุนเดิมอยู่ ผลการเลือกตั้งอาจจะออกมาคล้าย ๆ กับผลการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. ที่ฝั่งหนึ่งแตกแยกไร้พลัง อีกฝั่งหนึ่งเหนียวแน่นเป็นฐานใหญ่ ก็เป็นไปได้