‘บิ๊กตู่’ลุกแจงสภา ย้อน ‘ตู้ห่าว’ เริ่มกระบวนการขอสัญชาติตั้งแต่ปี 54 แฉซื้อกิจการอสังหาฯยกหมู่บ้านไม่รู้ของใคร แต่รัฐบาลนี้ไม่มีขายบ้านแถมสัญชาติให้
เมื่อวันที่ 16 ก.พ. เวลา 12.13 น. ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเป็นพิเศษ ซึ่งมีนายชวน หลีกภัย ประธานสภาฯ ทำหน้าที่ประธาน เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้ลุกขึ้นชี้แจงว่า กรณีคดีนายตู้ห่าว พฤติกรรมเหล่านี้เกิดมานานตั้งแต่ก่อนปี 2557 ซึ่งนายตู้ห่าว เข้ามาตั้งแต่ปี 2554 มีการอนุญาตเรื่องสัญชาติอะไรต่างๆ ตั้งแต่ปี 2554 ที่กระบวนการเรื่องสัญชาติเดินมาเรื่อยจนกระทั่งมาถึงรัฐบาลปัจจุบัน ในเมื่อเสนอมาตามนั้น ตนตรวจสอบแล้วถูกต้องก็เป็นการอนุมัติตามขั้นตอนทางกฎหมาย จึงขอให้คิดย้อนกลับว่าเกิดตั้งแต่ก่อนปี 57 ก่อนที่ตนเข้ามา แล้วพฤติกรรมเหล่านี้ เมื่อทราบในวันนี้ ตนก็ไม่แน่ใจว่าที่ผ่านมา ไม่มีใครทราบเลยหรืออย่างไร วันนี้ก็มีการฟ้องร้องและให้ข้อมูลมาจากภาคประชาชน ซึ่งตนรับมาหมดทุกเรื่อง
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า ทั้งนี้เมื่อตนทราบเรื่องก็ให้สืบสวนสอบสวนและไม่อยากจะโทษใครที่อาจถูกปล่อยปละมานานแล้ว รวมทั้งให้สอบสวนกลับมาว่า เงินใช้กันมาอย่างไรเมื่อไร ซึ่งทราบว่าใช้ในการซื้อกิจการอสังหาริมทรัพย์หรือเรียกว่ายกหมู่บ้าน ซึ่งไม่ทราบว่าบริษัทของใครเหมือนกัน ยกหลายหมู่บ้านด้วยกัน แต่สำหรับรัฐบาลนี้ไม่มีแน่นอนการขายบ้านแล้วแถมสัญชาติให้ และถ้าไปเช็คดีๆ ภรรยาของนายตู้ห่าวก็มีความเกี่ยวข้องกับอดีตรัฐมนตรีสมัยบางพรรค จึงขอให้ไปดูข้อมูลและข้อเท็จจริงเหล่านี้ ยืนยันว่าตั้งแต่ต้นนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ มาเจอตนก็ได้รับฟังและส่งข้อมูลให้ตำรวจดำเนินการทันที หลักยุติธรรมต้องมี ตนทำถูกต้องแต่อาจไม่ถูกใจไม่ทันใจทุกคน ซึ่งบางเรื่องเปิดเผยได้และบางเรื่องเปิดเผยไม่ได้ เพราะอยู่ในขั้นตอนกระบวนการสอบสวน
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า ขณะที่การออกหมายเรียกนายอุปกิต ปาจรียางกูร สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ของพนักงานสอบสวน ได้มีการสืบสวนจับกุมผู้ต้องหาที่มีส่วนเกี่ยวข้องพัวพันและสามารถขยายผลดำเนินคดีได้หลายรายบางรายก็หลบหนีไป แต่ก็มีการติดตามจับกลุ่มมาได้ บางรายที่หลบหนีอยู่ก็ต้องสืบสวนและจับกุมมาให้ได้ ซึ่งที่มีสมาชิกอภิปรายว่ามีส.ว.เข้าไปเกี่ยวข้องพัวพันนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้ติดตามสอบสวนดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย ส่วนการเพิกถอนหมายจับก็เป็นดุลยพินิจของตุลาการ ซึ่งมีความเห็นให้พนักงานสอบสวนไปออกหมายเรียกก่อน ยืนยันว่าเรื่องนี้ตนไม่ก้าวก่ายและไม่ช่วยเหลือใคร ทั้งหมดนี้คือกระบวนการทางกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมเป็นแบบนี้
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า อย่างไรก็ตามเนื่องจากไม่ใช่การปฏิบัติหน้าที่ของฝ่ายบริหาร แต่เป็นหน้าที่ของกระบวนการยุติธรรมทั้งตำรวจ อัยการและศาล รวมทั้งเรื่องนี้เป็นความผิดนอกราชอาณาจักร ตนได้ให้ทุกคนทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในเรื่องของกฎหมายเข้ามาสอบสวนด้วยกัน ซึ่งจะไปสั่งไม่ได้อยู่แล้ว เป็นเรื่องการบูรณาการบริหารจัดการคดีนี้ให้สิ้นสุดให้ได้โดยเร็ว โดยต้องมีการติดตามสอบสวนหาหลักฐานรัดกุมรอบคอบก่อน ถ้าพบว่ามีใครเกี่ยวข้องอีกก็จะออกหมายเรียก ซึ่งคดียังอยู่ ระหว่างการสอบสวนและอยู่ภายในอายุความ ไม่มีใครไปเอื้อประโยชน์หรือช่วยเหลือได้เป็นการปฏิบัติตามกฎหมาย
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงประเด็นธุรกิจจินสีเทาผับจินหลิงว่า เรื่องนี้ก็มีการติดตามสอบสวนและจับกุมขยายผลได้ผู้ต้องหามาหลาย 10 ราย บางรายก็หลบหนีออกหมายจับและอยู่ระวังติดตามจับกุมดำเนินคดี ส่วนที่บอกว่ามีตำรวจเข้าไปพัวพันก็มีการสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนไปแล้ว หากมีความผิดอาญาด้วยก็ต้องดำเนินคดี รวมทั้งที่บอกว่าไปย้ายคนขยันคนทำงานนั้น เรื่องนี้เป็นเรื่องการแต่งตั้งโยกย้า ยซึ่งอยู่ภายในอำนาจของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่พิจารณาตามหลักเกณฑ์และระเบียบต่างๆ
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีนายหยู ซินฉี ตั้งสมาคมปลอม เพื่อช่วยทำวีซ่านำคนจีนสีเทาเข้าประเทศในช่วงปี 63-64 จำนวน 7,000 คนโดยมีเจ้าหน้าที่สำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมืองช่วยเหลือนั้น วันนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ ดำเนินการสอบสวนรวบรวมหลักฐานพร้อมชี้แจงข้อมูลความคืบหน้าให้สื่อมวลชนทราบเป็นระยะๆแล้ว จะเห็นว่าตำรวจพยายามดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา หากพบเจ้าหน้าที่กระทำความผิดก็ต้องดำเนินการทั้งวินัยและอาญา ไม่มียกเว้นรวมทั้งคนไทยหลายคนที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย เรื่องนี้ตนยืนยันอยู่เสมอว่าจะไม่เกี่ยวข้องเด็ดขาด เพราะทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน
“ที่พูดถึงเรื่องคอรัปชั่นต่างๆนั้น ผมก็ไม่อยากจะย้อนกลับหลายท่านก็ยังกล้าจะพูดออกมา รัฐมนตรีหลายคนอดีตรัฐมนตรีหลายคนก็มีปัญหาเรื่องคอรัปชั่นติดคุกหลายคน ไปต่างประเทศก็มี แต่ตั้งแต่ปี 2557 ในรัฐบาลของผมยังไม่มีรัฐมนตรีคนไหนติดคุกสักรายนี่คือข้อเท็จจริง”พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ส่วนเรื่องเกี่ยวกับกอ.รมน. ตนไม่เห็นคนดีๆ มีปัญหาอะไรกับใคร มีแต่ท่านที่มีปัญหากฎหมายกับทุกฉบับอยู่แล้ว อย่าลืมว่าคนที่เหลืออยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกันไม่ได้เดือดร้อน มีคนเดือดร้อนอยู่คนเดียวหรือหลายคนตนก็ไม่ทราบเหมือนกัน ย้ำว่า กอ.รมน. เป็นหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นภายใต้กฎหมายและมีนายกรัฐมนตรีทุกคนเป็นผอ.กอ.รมน. ก่อนตนมาเป็น ก็ปฏิบัติงานภายใต้นายกฯ ของท่าน นายกฯ คนก่อนก็สั่งงานและประชุมกับตน ก็ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไรกับกอ.รมน. เช่นเดียวกัน ขอให้เข้าใจด้วยไม่ใช่รักษาอำนาจให้ตน
“เรื่องการนิรโทษกรรมที่ผม พูดหมายความว่าการนิรโทษกรรมวันนี้มีเรื่องการอภัยโทษอะไรอยู่แล้ว ส่วนเรื่องนิรโทษเป็นเรื่องของสภา แต่ถ้าถามผม ผมก็บอกว่าไม่เห็นด้วยเท่านั้นเอง แต่ก็เป็นเรื่องของสภาของท่าน แต่รู้สึกว่าท่านมีปัญหากับกฎหมายทุกฉบับเลยที่ผมสังเกตมา ท่านจะยกเลิกนู่นจะยกเลิกนี่ ปล่อยคนจากนู่นจากนี่แล้วอีกหน่อยจะอยู่กันอย่างไร ผมไม่รู้เหมือนกัน จะอยู่ท่ามกลางความขัดแย้ง อยู่ท่ามกลางที่จะปลุกปั่น ให้เด็กเล็กเด็กอายุ 14 ออกมาได้ยังไง เขาควรจะเรียนหนังสือเขาควรจะรักพ่อรักแม่ รักผู้ปกครอง รักครูอาจารย์ เขาออกมาด้วยอะไรผมไม่รู้เหมือนกัน แล้วก็มาแอบอยู่ข้างหลังตัวเองก็ไม่ได้โดนคดีอะไรทั้งสิ้นหรือโดนก็มีสิทธิ์คุ้มครองตัวเองก็ว่าไป ท่านพูดมาผมก็ต้องพูดกลับไปแค่นั้นเอง อย่าโกรธผม”พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ขณะที่เรื่องสถานการณ์ภาคใต้ขอให้พูดอย่างระมัดระวังเพราะเกี่ยวพันกับหลายประเทศในกลุ่มประเทศ OIC กลุ่มประเทศมุสลิมหลายประเทศมีส่วนเกี่ยวข้องในการแก้ปัญหาและร่วมมือกับเราในทุกมิติ และอย่ามองทุกอย่างที่ทำเป็นการกดหัวคนหมด แล้วจะทำงานกันอย่างไร การบริหารราชการแผ่นดินต้องมีการบังคับบัญชาควบคุมกำกับดูแล ย้ำว่าวันนี้การเดินหน้าแก้ปัญหาภาคใต้ไปได้มากแล้ว แต่อย่าลืมว่ามีความร่วมมือจากนอกประเทศด้วย ดังนั้นถ้าไม่รู้ก็อย่าพูดและอย่าเอาคลิปแบบนี้ออกมาอีก ใครจะไปทำคลิปแบบนี้หลายคนที่อยู่ภาคใต้ก็รู้อยู่แล้วว่ามีใครเกี่ยวข้องบ้างจากที่ไหนอย่างไร ซึ่งตนระมัดระวังอย่างที่สุดในเรื่องนี้ เพราะเป็นประเด็นเกี่ยวกับเรื่องศาสนา ประวัติศาสตร์และชาติพันธุ์ด้วย รู้เรื่องกันบ้างหรือไม่
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ในส่วนเรื่องยาเสพติดที่บอกว่าตนไม่รับผิดชอบไม่ดูแลอะไรก็แล้ว ลองไปดูว่าทำงานอะไรกันบ้าง ถ้าอ้างว่ามีคนร่วมมือ มีคนได้ประโยชน์ก็แจ้งมาสอบสวนดำเนินคดี ใครเกี่ยวข้องลงโทษกฎหมายก็มีเท่านี้ พูดเปล่าๆ ไม่ได้เด็ดขาด เมื่อเช้าก็มีการพูดกันหลายอย่างเอารูปนั้นรูปนี้ออกมา ซึ่งสถานการณ์เกิดมาอย่างต่อเนื่องตนพยายามจะแก้คนชั่วก็ชั่วมากขึ้นมีวิธีการใหม่ๆเราต้องช่วยกันแก้ไขต่อไป ไม่ใช่ปราบยาเสพติดฆ่าคนทิ้ง 2,000-3,000 กว่าคน มันถูกหรือไม่ ทำได้หรือไม่
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวย้ำว่า ปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาซับซ้อนส่งผลกระทบต่อความมั่นคง เศรษฐกิจและสังคมของประเทศ รัฐบาลได้กำหนดให้เป็นวาระแห่งชาติ ตราบใดที่มีคนชั่วก็มีเรื่องแบบนี้ทุกเรื่อง เราต้องรักษากฎหมายให้ดีที่สุด เพื่อไม่ให้สถานการณ์รุนแรงเกิดขึ้นคนชั่วก็ถูกกำจัดไปตามกฎหมาย ย้ำว่ารัฐบาลแก้ไขปัญหายาเสพติดในทุกมิติอย่างต่อเนื่องและมีผลการจับกุมจำนวนมาก ถ้าบอกว่ารังเกียจไม่ชอบ ตนก็รังเกียจและไม่ชอบยาเสพติดเช่นเดียวกัน รวมทั้งการบำบัดรักษาผู้ติดยา โดยจะหาพื้นที่ที่ควบคุมได้เพื่อแก้ไขการติดยาพร้อมฝึกอาชีพให้คนเหล่านี้ด้วย สิ่งเหล่านี้นายกรัฐมนตรีรับผิดชอบอยู่แล้ว แต่ต้องทำให้ถูกต้องใช้กฎหมายและ เคารพในอำนาจต่างๆตามกระบวนการยุติธรรม
“ประเทศใดไร้ซึ่งกฎหมายมันไม่ใช่ประเทศ วันหน้าก็แตกไปหมด สิ่งที่ผมอยากจะเตือนพวกเราทุกคนในการที่ทำให้บ้านเมืองมีความรักความสามัคคีไม่แตกแยก เพราะเราคือประเทศไทย ถ้าเราแตกแยกแบ่งกันไปแบ่งกันมาแบบนี้ วันหน้าเราจะไปไหนไม่ได้ ที่เราพยายามทำวันนี้คือพยายามทำให้ประเทศไทยก้าวไปสู่อนาคตให้ได้ให้ดีที่สุด เราได้รับการยอมรับจากต่างประเทศพอสมควร ผมไปต่างประเทศไม่เห็นใครรังเกียจผมสักคน ผู้นำทุกประเทศก็พูดกับผม การประชุมต่างประเทศก็เชิญผมไปชื่นชมด้วยซ้ำว่าทำได้ยังไงการแก้ปัญหาโควิด-19 ทำยังไงให้ประชาชนอยู่ได้ โรงงานไม่ต้องปิด แรงงานยังทำงานได้อยู่ นี่คือสิ่งดีๆที่เกิดขึ้นในประเทศไทย แต่ท่านไม่เห็น ท่านเห็นแต่สิ่งที่ไม่ดีบางอย่างท่านไม่เข้าใจและไม่ร่วมมือบางอย่างท่านก็ไม่เคารพกฎหมาย”พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า ย้ำว่าทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน ตนก็อยากจะทราบว่าถ้าท่านมีอำนาจขึ้นมาแล้วไม่มีกฎหมายอะไรเลยหรือไม่ก็ไม่รู้เหมือนกัน แยกคนทุกกลุ่มทุกฝ่ายไปหมด มันไม่ใช่ประชาธิปไตยที่ถูกต้อง ประชาธิปไตยที่ถูกต้องคือมีสิทธิ เสรีภาพ มีหน้าที่แต่ต้องไม่ไปละเมิดสิทธิผู้อื่น นั่นคือสิ่งสำคัญที่สุด ต้องสอนคนเหล่านี้ เด็กของเราหลายคนถูกบิดเบือนไป ท่านรับผิดชอบด้วยแล้วกันวันหน้า