“ชวน” ยัน “จุรินทร์” เป็นคนเก่ง ข้องใจโพลรั้งท้ายตลอด เผยหลัง “ยุบสภา” ลุยหาเสียงเต็มที่ รับปมซื้อเสียงกระทบภาพลักษณ์ปชป. กระตุกส.ส.สำนึกบุญคุณพรรค
วันที่ 8 มี.ค.2566 เวลา 13.20 น. ที่รัฐสภา นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง กระแสวิพากษ์วิจารณ์จากอดีตสมาชิกพรรคที่ออกมาเปิดเผยการซื้อเสียงภายในพรรคว่า อะไรก็ตามที่เป็นเรื่องลบ ย่อมกระทบต่อพรรคแน่นอน แต่ตนย้ำเสมอว่าสมาชิกต้องระลึกถึงบุญคุณพรรคเช่นกัน ขอยืนยันว่าการแต่งตั้งกรรมการบริหารพรรค รวมถึงตำแหน่งรัฐมนตรีของพรรคประชาธิปัตย์ไม่มีการซื้อเสียง เพราะพรรคจะมีลักษณะที่ว่าคนที่จะมาเป็นรัฐมนตรีไม่ต้องเสียเงิน แต่สำหรับพรรคอื่นนั้นตนไม่ทราบ ดังนั้นคนที่อยู่ในพรรคต้องมีความรู้สึกผูกพันธ์กับสิ่งที่พรรคให้ คุณธรรมหนึ่งของคนในพรรค คือต้องระลึกว่าเราได้อะไรไปจากพรรค และเสียอะไรให้พรรคบ้าง ยกตัวอย่างตนก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไร ได้มาเป็นหัวหน้าพรรคโดยใช้เวลาพิสูจน์ 22 ปีจนสมาชิกพรรคยอมรับว่าตนเป็นหัวหน้าพรรคได้ และเมื่อชนะเลือกตั้งตนก็เป็นนายกรัฐมนตรี โดยไม่เสียเงินแม้แต่บาทเดียว ตนจึงบอกว่าบุญคุณเหล่านี้ใช้ทั้งชีวิต ก็ใช้ไม่หมด รวมถึงบุญคุณที่ได้จากชาวบ้านด้วย ดังนั้นในช่วงปลายสมัยนี้จะใช้โอกาสเดินทางไปขอบคุณ คนที่ยังมีชีวิตอยู่ ที่เคยช่วยเหลือตนมาตลอด แม้บางอย่างตนจะตอบแทนเขาไม่ได้แต่ก็ตอบแทนบุญคุณเขาด้วยความซื่อตรง สุจริต
“ยกตัวอย่างตอนผมเป็น รมว.กลาโหม 3ปี วันที่ผมพ้นตำแหน่ง ผมมีงบราชการลับอยู่ 7.5 ล้านบาท ท่านปลัดมาให้ผมเซนต์ ผมบอกว่าขอยกคืนให้กระทรวงทั้งหมด ซึ่งปลัดบอกว่าเป็นเงินของท่าน ผมบอกว่าผมรู้ แต่ผมมาจากผู้แทนราษฎรไม่ได้มาจากกลาโหม ดังนั้นจึงขอตอบแทนชาวบ้านไม่ว่าต่อหน้า หรือลับหลัง ด้วยการขอคืนงบราชการลับทั้งหมด ให้กับหน่วยงานต่างๆ ซึ่งปัจจุจบันยังมีบางหน่วยยังเขียนจดหมายมาขอบคุณ และรายงานการใช้จ่ายงบเหล่านั้น ผมขอเรียนว่าตลอดชีวิต เราชดใช้บุญคุณประชาชน มีสิ่งเดียวที่ทำให้คือ ความซื่อตรงไม่ว่าต่อหน้าและลับหลัง คนในพรรคประชาธิปัตย์ ต้องมีจิตเช่นนี้ ” นายชวนกล่าว
นายชวนยอมรับว่า ขณะนี้ภาพพจน์ของพรรคประชาธิปัตย์ ความมีชื่อเสียงมันไม่เหมือนเดิม เพราะมีหลายคนออกไปจากพรรค แต่คนประเภทอย่างตนไม่มีทางไปไหน ต้องช่วยกันไม่ว่าจะได้ซักกี่คน ก็จะต้องช่วยให้สุดความสามารถ ถ้าพรรคโดดเด่นเสียงดี ตนก็ไม่กังวล แต่เมื่อสภาพเป็นเช่นนี้ตนก็ต้องมาช่วยหัวหน้าพรรค เพราะตนเป็นผู้หนึ่งที่เลือกนายนจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ มาเป็นหัวหน้าพรรค โดยได้ย้ำกับสมาชิกหลายคนว่า ถ้าเราอยากเปลี่ยนหัวหน้าพรรค ก็ให้โอกาสเขาทำงานให้ครบ 4 ปี ถึงวันนั้นถ้าอยากเปลี่ยนก็ค่อยว่ากัน แต่อย่าไปทำอะไรในระหว่างนั้น โดยส่วนตัวถือว่านายจุรินทร์ เป็นคนที่มีความสามารถคนหนึ่ง ไม่เช่นนั้น นายบัญญัติ บรรทัดฐาน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และตน คงไม่หนุนให้มาเป็นหัวหน้าพรรค แต่ก็แปลกใจเวลาหยั่งเสียง มักจะอยู่ลำดับรั้งท้ายทุกที แต่ช่วงนี้เริ่มขยับดีขึ้นมา แต่เมื่อถึงจุดนี้ก็ต้องพยายามช่วยพรรค เท่าที่เป็นไปได้ และเมื่อตนเสร็จภารกิจโดยสิ้นเชิง หลังจากมีการยุบสภา ตนจะไปช่วยพรรคอย่างเต็มที่