ในขณะที่กำลังเรียนวิชารัฐศาสตร์และอ่านหนังสือชื่อ Government by the People ที่ใช้เรียนในระดับมหาวิทยาลัยของสหรัฐอเมริกา และจากการอ่านบทความทางวิชาการต่าง ๆ เพิ่มเติม ทำให้นำมาวิเคราะห์สถานการณ์การเมืองของประเทศไทย พอจะสรุปใจความสาระสำคัญออกมาได้ดังนี้
แค่เพียงยังไม่ถึงศตวรรษ ประเทศไทยมีการยึดอำนาจที่สำเร็จมากถึง 13 ครั้งและไม่สำเร็จ 9 ครั้ง และครั้งล่าสุดเป็นการยึดอำนาจรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในปี 2557 โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แม้มีเหตุผลเพื่อเสถียรภาพทางการเมืองและความสงบสุขในประเทศ แต่มันเป็นวัฏจักรของการยึดอำนาจที่ไม่จบสิ้นยังส่งผลให้เป็นอุปสรรคสะดุดจำกัดความเติบโตของประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขที่มีเสถียรภาพและสมบูรณ์พูนสุขในประเทศ
ดังนั้น เพื่อให้ประเทศไทยสามารถหยุดวัฏจักรของการยึดอำนาจโดยหันมาเสริมสร้างประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขที่สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น จึงขอให้บรรดาแกนผู้นำระดับประเทศและประชาชนคนไทยควรพิจารณามุมมองของประชาธิปไตยที่เปราะบางต่อไปนี้
ประการแรก ประเทศไทยเปรียบเสมือนเป็น ดินแดนแห่งการจดจำของคุณค่าประชาธิปไตยในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีประชาชนจำนวนมากที่ยกย่องความสำเร็จของการเปลี่ยนแปลงการปกครองในช่วงปี พ.ศ.2475 แต่ประชาชนคนไทยจำนวนไม่น้อยก็ยังมีข้อกังขาต่อผลกระทบในทางลบที่ตามมาของการเปลี่ยนแปลงนั้น หากจะเปรียบเทียบประชาธิปไตยของประเทศไทยอาจจะเปรียบเทียบได้กับ เรือที่กำลังมุ่งหน้าสู่โลกกว้างในมหาสมุทร และคำถามคือใครควรถูกเลือกเป็นกัปตันของเรือลำนี้ ระหว่างคนทั่วไปใครก็ได้ที่มีอำนาจ กับคนที่รู้เรื่องการขับเรือและรู้เรื่องสภาพแวดล้อมของมหาสมุทร
ประการที่สอง การออกเสียงในการเลือกตั้งหรือการออกเสียงใด ๆ ก็ตามไม่ใช่สิทธิ์ที่มีมาอยู่แล้วในตัวคนออกเสียงแต่มันเป็นเรื่องที่ต้องขึ้นอยู่กับทักษะที่ได้รับการศึกษาและมีประสบการณ์ที่เต็มเปี่ยมล้นจึงจะช่วยให้การออกเสียงในการเลือกตั้งและอื่น ๆ เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลในประชาธิปไตยที่สมบูรณ์พูนผล ดังนั้น การปล่อยให้ผู้ออกเสียงในการลงมติ หรือในการเลือกตั้งที่ ผสมปนเป กันไปของผู้คนที่รู้มากที่สุด รู้มาก รู้ปานกลาง รู้น้อย และไม่รู้เรื่องนั้น ๆ เลย อาจเกิดผลกระทบในทางลบต่อพัฒนาการของประชาธิปไตยได้
ประการที่สาม ต้องเข้าใจว่าประชาธิปไตยที่สมบูรณ์พูนผลนั้นไม่ใช่เป็นประชาธิปไตยของชนชั้นนำและไม่ใช่เป็นประชาธิปไตยของพวกเผด็จการ แต่การที่ไม่สามารถแยกแยะระหว่างประชาธิปไตยที่สมบูรณ์พูนผลกับประชาธิปไตยแบบเปราะบางจะส่งผลให้เกิดการใช้ “ความกลัวของคณะราษฎร” มาแสวงหาผลประโยชน์และอำนาจของขบวนการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยอย่างที่เป็นในเวลานี้ เช่น ขบวนการประชาธิปไตยบางกลุ่มออกมาปั่นกระแสให้เกิดความกลัวต่อสถาบันหลักของชาติ เกิดความกลัวต่อความมืดมนของประเทศถ้ามีผู้นำเป็นเผด็จการสืบทอดอำนาจ คสช. เหล่านี้เป็นเทคนิคของขบวนการที่เอาจุดอ่อนแห่งความกลัวของคณะราษฎรมาเป็นปัจจัยสำคัญอันหนึ่งของการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลง ซึ่งนำไปสู่สภาพบ้านเมืองที่ไม่มั่นคงก่อให้เกิดการยึดอำนาจซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ยกตัวอย่างให้เห็น แกนนำทางการเมืองสองท่าน โดย ท่านแรกเป็นนักการเมืองที่พูดจาน่าฟัง มีหลักการเหตุผล และ นักการเมืองท่านที่สองเป็นคุณหมอ ทั้งสองท่านนี้มีความโดดเด่นต่างกัน ท่านแรกพูดเรื่องต่าง ๆ ที่ตรงกับความอยากรู้อยากเห็นของคน พูดจาดึงดูดใจคน หลายครั้งปลุกปั่นให้เกิดความกลัวของผู้คนและคณะราษฎร์ ทั้ง ๆ ผู้คนที่ฟังนักการเมืองท่านแรกนี้จะไม่เห็นชัดหรอกว่า ประเทศมันจะดีขึ้นจริงหรือ หรืออยู่ตรงที่ว่า มันน่าจะดี แต่นักการเมืองท่านแรกนี้เก่งพูดปลุกปั่นอารมณ์ผู้คนชั้นเทพ
แต่ตรงกันข้ามกับ นักการเมืองคนที่สองที่รักชาติบ้านเมืองมีความชัดเจนของผู้คนเห็นว่า ทำเพื่อชาติบ้านเมือง ดีต่อส่วนรวมอย่างแน่นอน แต่นักการเมืองท่านที่สองนี้เปรียบเสมือนคุณหมอ ที่บอกเราว่า ต้องผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ ต้องผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะ ต้องใช้ยาแรง ต้องผ่าตัดเอาเนื้อร้ายออก เพื่อรักษาชีวิตไว้ ซึ่งจะเห็นได้ว่า นักการเมืองคนที่สองมีความชัดเจนว่าทำอะไรบ้างจะทำให้ดีต่อชาติบ้านเมือง
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่า นักการเมืองท่านแรกกลับจะมีการตอบรับขับเคลื่อนจากผู้คนได้มากและระดมคนอยู่เป็นพรรคพวกของเขาได้ไม่น้อยเช่นกันและอาจจะเติบโตอย่างรวดเร็วขึ้นไปอีก เพราะนักการเมืองคนที่พูดจาดูดีน่าฟังใช้อาวุธแห่งภาษาที่ตรงกับความสนใจ อยากรู้อยากเห็นเรื่องที่คนทั่วไปรู้เห็นได้ยาก นักการเมืองคนนี้กำลังทำสิ่งที่ตรงกับจริตของคนจำนวนไม่น้อยและเปลี่ยนทำให้คนเหล่านั้นที่เกิดความสงสัยว่าจะจริงหรือ กลายมาเป็น น่าจะจริง และก็คิดว่าจริง จริง สุดท้ายก็มาอยู่เป็นพวกในขั้วของนักการเมืองยอดนักพูดคนนี้ ที่มักจะหยอดถ้อยคำลงไปในสังคมให้เกิดภาพว่า เป็นคนนำเอาความเจ็บปวดและความกลัวมาบอกประชาชนเพื่อมาช่วยประชาชน จึงโน้มน้าวให้ประชาชนมาอยู่เป็นพวกในขั้วของตน
สุดท้ายถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป ผลที่ตามมาคือ ประชาชนก็จะออกเสียงลงคะแนนเลือกนักการเมืองยอดนักพูดที่พูดดูดี ตรงจริต ตรงความอยากรู้อยากเห็นของผู้คน แต่ จริง หรือ ไม่จริง ดี หรือ ไม่ดี…..ไม่รู้
นี่แหละประชาธิปไตยที่เปราะบางของประเทศไทย ขอให้ทุกท่าน ลองพิจารณาไตร่ตรองดู
……………………………….
กฤตัชญ์ กรรณิกา
นักเรียนชั้นเกรด 11 หรือเทียบ ม. 5
โรงเรียน Walter Johnson High School
รัฐแมรี่แลนด์ สหรัฐอเมริกา