วันเสาร์, พฤศจิกายน 23, 2024
spot_img
หน้าแรกNEWS“ชูวิทย์”ซัดกลับ“ทนายตั้ม”รับงานจากใคร เผยรับเงิน 6 ล้านจาก“สารวัตรซัว”จริง
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

“ชูวิทย์”ซัดกลับ“ทนายตั้ม”รับงานจากใคร เผยรับเงิน 6 ล้านจาก“สารวัตรซัว”จริง

ชูวิทย์” เดือด! ตอกกลับซัด “ทนายตั้ม” รับงานจากใคร หากมีหลักฐานก็เปิดมาเลย เผยรับเงิน 6 ล้านจาก”สารวัตรซัวจริง” เชื่อ หลานเอาข้อมูลไปแฉ พร้อมตัดความสัมพันธ์ และไม่เคยรับเงิน50ล้านตามที่ถูกกล่าวอ้าง

สืบเนื่องจากกรณีคืนวานนี้ (22 มี.ค.) นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม โพสต์ข้อความและรูปภาพเงินสด ผ่านเพจเฟสบุ๊ค ชื่อ ษิทรา เบี้ยบังเกิด พร้อมข้อความระบุว่า “แฉไป ไถไป” โดยระบุว่า มีการไปไถเงินสีเทามา 50 ล้าน ก่อนทำตัวเป็นคนดีบริจาคครั้งละ 3 ล้านบาท อย่างไรก็ตามเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาทนายตั้มก็ได้ออกมาแถลงข่าวในกรณีนี้ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น 

ความคืบหน้าล่าสุด วันที่23 มี.ค. เวลา 13.00 น.นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง ออกมาแถลงโต้กลับทนายตั้ม ที่กล่าวหาตนเองว่าเรียกรับเงินจากผู้ทำเว็บพนันออนไลน์และธุรกิจผิดกฎหมาย ทั้งที่นายชูวิทย์ เป็นคนแฉเรื่องดังกล่าวเอง ก่อนเริ่มการแถลง นายชูวิทย์ อัญเชิญพระเจ้าตากสิน มาสาบานต่อหน้าสื่อมวลชนว่าหากพูดโกหก ก็ขอให้เกิดความวิบัติแก่ตนเอง หากพูดความจริงก็ขอให้เกิดแต่ความเจริญ พร้อมแสดงเชิงสัญลักษณ์โดยการนำเหรียญมาหยอดใส่ตาชั่ง

นายชูวิทย์ เปิดเผยว่า ทนายตั้มรับข้อมูลจากหลาน ที่ตนเลี้ยงดูมาดั่งลูกตั้งแต่ยังเล็กเพราะพ่อเขาติดคุก ส่วนแม่ก็แยกทางไป ตนส่งเสียให้เรียนโรงเรียนชื่อดังจนจบ แล้วก็มาติดตามตัวเอง กระทั่งตนติดคุก จึงให้นายเปาไปคอยเก็บเงินค่าเช่าคอนโดมิเนียมตนเองเลี้ยงดูตัวเอง ก่อนเขาจะเลิกทำแล้วไปทำงานกับสารวัตรซัว ซึ่งเรียนโรงเรียนเดียวกันมา โดยได้ค่าจ้าง 3-4 แสนบาท และให้เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของลาลิซ่าอาบอบนวด

ส่วนเรื่องที่ทนายตั้มกล่าวหานั้น ประเด็นแรก ยอมรับว่าตนเองเคยพบกับนายแทนไท ซึ่งมีอดีตนายตำรวจยศพล.ต.อ.ที่ตนรู้จักกัน พามาหาที่โรงแรมแห่งนี้ตอนกลางวัน เพื่อปรึกษาว่าจะฟ้องร้องนายสนธิ ลิ้มทองกุล หรือไม่ หลังเข้าไปพบนายสนธิ แล้วถูกต่อว่าเพราะไม่เชื่อว่านายแทนไท จะทำธุรกิจขาวสะอาด ตนก็แนะนำว่าอย่าไปฟ้องเพราะสู้ไม่ได้ ก่อนนายแทนไท จะกลับไป ตนไม่ทราบเหตุผลว่าทำไมต้องมาปรึกษาตัวเอง 

ประเด็นต่อมาคือเรื่องที่มีเงินดิจิตัล 50 ล้านบาทโอนเข้ามายังบัญชีของกล่องดวงใจหรือนายเติม ลูกชายคนเดียวของตน ยืนยันว่าลูกชายตัวเองมีอันจะกิน เพราะได้รับเงินเดือนจากตน ไม่เคยเล่นการพนัน และไม่มีเงินตามที่ทนายตั้มกล่าวอ้างโอนเข้ามา เว้นแต่เพื่อนของลูกตนจะทำเว็บพนันหรือไม่ ตนไม่ทราบ

นายชูวิทย์ กล่าวต่อมาประเด็นเรื่องรูปเงินทั้ง 2 ถุงที่ทนายษิทราโพสต์ไว้และบอกว่ามีเงินมากกว่า 6 ล้านบาทตามที่ตนระบุ โดยตนขอชี้แจงว่า เงินดังกล่าวมีถุงละ 3 ล้านบาท รวมเป็น 6 ล้านบาท ไม่มีเงินจากแหล่งอื่นมาเพิ่มเติม ซึ่งเงินดังกล่าวมีตำรวจเกษียณราชการ ชื่อ อ.และอีกนายชื่อ ป.ที่รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยยังทำอาบอบนวด นำมาให้ตนในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ปีนี้ และได้ปฏิเสธไปแล้ว แต่ภาพดังกล่าวไม่ได้ถ่ายที่โรงแรมแห่งนี้ และไม่ทราบว่าผู้ใดนำไปเปิดเผยซึ่งตนไม่สนใจ แต่เชื่อว่าเป็นการแบล็กเมล์ และเกี่ยวข้องกับเรื่องการเมืองที่ตนกำลังทำลายนโนบายพรรคการเมืองหนึ่ง

ก่อนตนจะตัดสินใจนำเงินทั้งหมดไปบริจาคให้กับโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ฯ เมื่อวันที่ 14 ก.พ.และ โรงพยาบาลศิริราช ในวันที่ 15 มี.ค.พร้อมยอมรับว่าตัวเองไม่มีทางออก ซึ่งตามจริง ตนควรจะนำไปให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.) แต่คิดว่าไม่มีประโยชน์ จึงนำไปบริจาคเพราะไม่กล้าใช้ ยิ่งหากได้เงิน 10 ล้านบาทจริงตามที่ทนายตั้มอ้าง ตนจะแบ่งเก็บและบริจาคก็ได้ แต่ตัวเองมีทรัพย์สินมากกว่าที่ได้รับมาเยอะ และยินดีให้สังคมตัดสินว่าตัวเองเป็นอย่างไรกับการนำเงินสีเทาไปบริจาค เพราะตนมักพูดเสมอว่าตัวเองไม่ใช่คนดี

นายชูวิทย์ ยังถามถึงทนายตั้มว่ารับงานมาจากใคร ยอมรับว่ามีบางเรื่องที่กล่าวหามานั้นมีทั้งถูกและผิด ซึ่งไม่ทราบเหตุผลที่ต้องออกมาพูดในครั้งนี้ พร้อมตอบคำถามที่ว่าทำไมตนถึงไม่แฉเรื่องนายแทนไท เพราะเขาเปลี่ยนธุรกิจให้ถูกตามกฎหมายไปแล้ว จึงไม่นำมาแฉ รวมถึงหลังจากนี้ ตนไม่ยอมรับนายเปา เป็นหลานแล้ว เพราะถือว่าเนรคุณ ซึ่งปัจจุบันตนไม่เคยได้พบหรือติดต่อกันอีก

อย่างไรก็ตาม ภายหลังแฉกลุ่มธุรกิจสีเทา ก็มีคนพยายามจะเข้ามาพบหรือหารือตนเสมอ แต่ตนไม่ได้ให้เข้าพบง่ายๆยอมรับว่าได้รับเงินจากกลุ่มของสารวัตรซัวจริงเพราะเลี่ยงไม่ได้ แต่ตนก็นำเงินไปบริจาคต่อ แต่ยืนยันว่าไม่เคยพบหรือแม้แต่จะโทรศัพท์คุยกับสารวัตรซัว ฝากถึงทนายตั้มด้วยว่าหากมีหลักฐานอื่นก็ยินดีให้เปิดเผย ยอมรับว่าไม่โกรธเพียงแต่สงสัยว่าจู่ๆ ก็มาทิ่มแทงตนในเวลานี้ หากได้คุยกับตนก็สามารถชี้แจงได้ และในอนาคต หากทนายตั้มสนใจอยากร่วมแฉโครงการทุจริตรถไฟฟ้ากับตนก็ยินดีหากเป็นประโยชน์กับประชาชน

ส่วนกรณีเรื่องที่ดินที่สุขุมวิทซอย 10 ที่ทนายตั้มกล่าวหานั้น ยอมรับว่าตนเองเป็นผู้สั่งให้มีการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างในที่ดินดังกล่าว แต่ยืนยันไม่ได้โกง และเสียภาษีปีละ 2 ล้านบาท โดยทนายตั้มให้ข้อมูลคลาดเคลื่อน เนื่องจากศาลชั้นต้นได้ยกฟ้องไม่มีความผิด และศาลอุทธรณ์ สั่งจำคุก 5 ปี ยืนยันว่าไม่เคยหาผลประโยชน์จากที่ดินดังกล่าว หลังออกจากคุกที่ถูกจองจำเป็นเวลา 10 เดือนและไม่ได้ผลประโยชน์จากที่ดินมานานกว่า 12 ปี

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img