“ไอติม”ลั่นปีนี้จับ”ใบดำ-ใบแดง”ครั้งสุดท้ายก้าวไกลเป็นรบ.เลิกทันที ส่งทีมรณรงค์ยกเลิกการเกณฑ์ทหารตามหน่วยจับใบดำ-ใบแดงทั่วประเทศ ยืนยันการยกเลิกการบังคับเกณฑ์ทหารจะไม่กระทบต่อความมั่นคงของประเทศ
เมื่อวันที่ 1 เม.ย.พรรคก้าวไกล นำโดย พริษฐ์ วัชรสินธุ์ ผู้จัดการการสื่อสารและการรณรงค์นโยบายของพรรคก้าวไกล นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร อดีตผู้สมัครผู้ว่ากทม.พรรคก้าวไกล นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ อดีต ส.ส.กทม.พรรคก้าวไกล และนายปิยรัฐ จงเทพ ผู้สมัคร ส.ส. กทม. เขตพระโขนง-บางนา ได้เข้าสังเกตการณ์ และทำโพลสำรวจความเห็นต่อข้อเสนอยกเลิกการบังคับเกณฑ์ทหาร บริเวณหน่วยจับใบดำ-ใบแดง เขตพระโขนง โดยมีผู้สมัคร ส.ส. พรรคก้าวไกล ทั่วประเทศกระจายทำกิจกรรมรณงค์ลักษณะเดียวกันในเขตเลือกตั้งของตนเอง
นายพริษฐ์ กล่าวว่า หากก้าวไกลเป็นรัฐบาล เราตั้งเป้าจะยกเลิกการบังคับเกณฑ์ทหารภายใน 1 ปี เพื่อให้เม.ย.ปีนี้ เป็นครั้งสุดท้าย ที่ต้องมีคนมาจับใบดำ-ใบแดง หรือต้องมีคนเป็นทหารทั้งที่ไม่อยากเป็น เหตุผลที่พรรคก้าวไกลเสนอการยกเลิกบังคับเกณฑ์ทหาร เพราะระบบเกณฑ์ทหารทำให้เกิดความสูญเสียในสองระดับด้วยกัน กล่าวคือ การสูญเสียเสรีภาพในระดับปัจเจกบุคคล ซึ่งกระทบต่อเสรีภาพในการประกอบอาชีพ โอกาสความก้าวหน้าทางการงาน และเวลาที่ได้อยู่กับครอบครัว ส่วนอีกระดับหนึ่งคือ การสูญเสียมูลค่าทางเศรษฐกิจระดับประเทศ เพราะเป็นการดึงทรัพยากรมนุษย์ออกจากตลาดแรงงานในวันที่ประเทศไทยเผชิญกับสังคมสูงวัยและโครงสร้างประชากรที่มีสัดส่วนคนวัยทำงานที่ลดลง
นายพริษฐ์ กล่าวว่า ยืนยันว่าการยกเลิกการบังคับเกณฑ์ทหารจะไม่กระทบต่อความมั่นคงของประเทศ เพราะหากเราลดยอดกำลังพลที่ไม่จำเป็นหรือไม่เกี่ยวข้องกับงานด้านความมั่นคง เช่น พลทหารรับใช้ ควบคู่กับการยกระดับสวัสดิการ-สวัสดิภาพของพลทหารและการกำจัดความรุนแรงในค่าย ยอดทหารที่สมัครใจเข้ามาจะเพิ่มขึ้นและเพียงพอต่อภารกิจการรักษาความมั่นคงของประเทศ ซึ่งหากการยกเลิกเกณฑ์ทหารสามารถเกิดขึ้นได้จริงจะส่งผลดีกับทุกฝ่าย ไม่เว้นแม้แต่กองทัพ ที่จะได้ลบข้อครหาว่าเป็นสถาบันอำนาจนิยมและก้าวสู่กองทัพยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยบุคลากรที่สมัครใจทำงานและพร้อมทุ่มเทให้องค์กรอย่างแท้จริง
นายวิโรจน์ กล่าวว่า การยกเลิกการเกณฑ์ทหารเป็นหนึ่งนโยบายในการปฏิรูปกองทัพของพรรคก้าวไกลที่ครอบคลุมอีกหลายวาระ ตั้งแต่การปิดช่องรัฐประหารและการแทรกแซงการเมืองโดยกองทัพ การโอนธุรกิจกองทัพมาอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐบาลเพื่อให้เกิดความโปร่งใส รวมถึงการแก้กฎหมายและระเบียบกลาโหมทั้งหมดเพื่อให้กองทัพอยู่ภายใต้รัฐบาลพลเรือนที่ยึดโยงกับประชาชน ซึ่งจะทำให้ทหารทุกคนได้ทำหน้าที่เป็นทหารอาชีพอย่างแท้จริง.