อดีตรองอธิบการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊กถามคณาจารย์และนักวิชาการ 255 คน เข้าชื่อกดดันศาลให้ประกันตัวแกนนำม็อบ และเห็นด้วยที่ไม่มีมาตรา 112 ใช่หรือไม่
เมื่อวันที่ 16 ก.พ. รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ให้ความเห็นผ่าน เฟซบุ๊กส่วนตัวระบุว่า คณาจารย์และนักวิชาการ 255 คน เข้าชื่อกันออกแถลงการณ์ขอให้ศาลคืนสิทธิการประกันตัว 4 แกนนำม็อบ 3 นิ้ว ด้วยเหตุผลโดยสรุปดังนี้
1. ศาลต้องพึงยึดหลัก การสันนิษฐานว่าผู้ต้องหายังเป็นผู้บริสุทธิ์ จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด นอกจากนี้คำสั่งไม่ให้ประกันตัวที่วางอยู่บนพื้นฐานว่า จำเลยอาจไปก่อเหตุในลักษณะเดียวกันกับที่ถูกกล่าวหา จึงเป็นเสมือนการตัดสินล่วงหน้าว่าการกระทำของผู้ถูกสั่งฟ้อง เป็นการกระทำที่ผิด ทั้งที่กระบวนการไต่สวนยังไม่เริ่มต้น
2. การไม่ให้ผู้ต้องหาประกันตัวระหว่างดำเนินคดี หากในที่สุดศาลพิพากษาว่าไม่ผิด สิทธิเสรีภาพที่ถูกพรากไประหว่างถูกจองจำไม่อาจเรียกคืนกลับมาได้ เช่นนายพริษฐ์ ชีวารักษ์ ซึ่งเป็นนีกศึกษาอยู่ การถูกจองจำเป็นการลิดรอนสิทธิในการศึกษาของนายพริษฐ์ไปด้วย
3. รัฐบาลเป็นคู่ขัดแย้งของผู้ถูกดำเนินคดีโดยตรง จึงเป็นธรรมดาที่เจ้าหน้าที่ของรัฐจะใช้มาตรการทางกฎหมายกับผู้ชุมนุมอย่างเกินกว่าเหตุ สถาบันตุลาการจึงจำเป็นต้องรักษาความเป็นอิสระและสมดุลของการปกป้องหลักสิทธิเสรีภาพของประชาชน
4. การไม่ให้ประกันตัว มีแนวโน้มที่จะนำไปสู่ความขัดแย้งที่ขยายตัวรุนแรงขึ้น
ในวันเดียวกัน ศาลอุทธรณ์ให้ยกคำร้องการขอให้ปล่อยตัวชั่วคราว 4 แกนนำด้วยเหตุผลว่า ความผิดตามฟ้องมีอัตราโทษสูง การกระทำตามฟ้องเป็นการร่วมกันกระทำความผิดของกลุ่มบุคคลอันอาจก่อให้เกิดความเสียหายและความวุ่นวายขึ้น และส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง โดยจำเลยขึ้นปราศรัยด้วยถ้อยคำที่นำมาซึ่งความเสื่อมเสียสู่สถาบันพระมหากษัตริย์ อันเป็นที่เทิดทูนและเคารพสักการะ กระทบกระเทือนจิตใจของปวงชนชาวไทยผู้จงรักภักดีอย่างไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย
นอกจากนี้ยังปรากฏพฤติการณ์ของจำเลยว่าถูกกล่าวหาดำเนินคดีในลักษณะทำนองเดียวกันในคดีอื่นอีก มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่า หากอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวในระหว่างพิจารณาคดีแล้ว จำเลยอาจจะก่อให้เกิดเหตุอันตรายหรือความเสียหายประการอื่นอีก และน่าเชื่อว่า จำเลยอาจจะหลบหนี
ลองพิจารณาดูว่า ระหว่างคณาจารย์ 255 คน กับศาล ฝ่ายไหนจะมีเหตุผลดีกว่ากัน และลองพิจารณาว่า ข้อความในแถลงการณ์ของคณาจารย์ข้อ 3 เป็นการตั้งข้อสมมติฐานว่าศาลไม่เป็นอิสระหรือไม่
การพิจารณาอนุญาตให้ประกันตัว หรือไม่อนุญาตให้ประกันตัวในทุกคดี เป็นอำนาจของศาล และเป็นขั้นตอนตามปกติของกระบวนการยุติธรรม หากจะให้ปล่อยตัวจำเลยเป็นการชั่วคราว ด้วยเหตุผลว่า ต้องถือว่าจำเลยยังเป็นผู้บริสุทธิ์ และกระบวนการพิจารณายังไม่ถึงที่สุด ก็น่าจะเสนอให้เปลี่ยนแปลงกระบวนการยุติธรรมทั้งหมดไปเสียเลย โดยไม่ให้มีการคุมขังจำเลยไม่ว่าในกรณีใดๆจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว ไม่ใช่ให้ทำในเฉพาะคดีนี้
หากมีการเปลี่ยนแปลงกระบวนการยุติธรรมแบบนี้จริง ก็เชื่อได้เลยว่า จะมีผู้ก่อคดีอาญาเพิ่มขึ้นมากแน่นอน เพราะคนจะมีความเกรงกลัวต่อกฎหมายน้อยลง
คณาจารย์ทั้ง 255 คน คงไม่สามารถรับประกันได้ว่า หาก 4 แกนนำได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว จะไม่ก่อคดีหรือทำความผิดเพิ่มขึ้นอีก และเชื่อว่าคณาจารย์ทั้ง 255 คนก็รู้อยู่แก่ใจว่า สิ่งที่แกนนำเหล่านี้ปราศรัย เป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอย่างรุนแรง เกินกว่าที่ผู้ที่จงรักภักดีจะยอมรับได้
คณาจารย์ทั้ง 255 คน ยังน่าจะรู้ดีว่า ทั้ง 4 คนหากได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว ก็จะไปก่อคดีเพิ่มขึ้นอีก
ดังนั้นจึงมีคำถามว่า เพราะอะไรจึงเข้าชื่อกันในแถลงการณ์ฉบับนี้
มีคำตอบเดียวคือ คณาจารย์ทั้ง 255 คน เห็นว่า การกระทำอันเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพนั้น ไม่ใช่ความผิด ทางอาญาและไม่ควรมีประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 อีกต่อไป
ใช่หรือไม่