“พท.” เปิดตัวทีมนโยบายศึกษา “ณหทัย” ชู 6 นโยบายหมัดเด็ดเรียนไปทำงานไป รายได้ใหม่ทำได้จริง
วันที่ 20 เม.ย.2566 ที่พรรคเพื่อไทย นำโดย ดร.ณหทัย ทิวไผ่งาม ประธานคณะทำงานด้านนโยบายการศึกษาและพัฒนาศักยภาพมนุษย์ พรรคเพื่อไทย, ดร.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย รักษาการโฆษกพรรคเพื่อไทย และผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย คณะทำงานด้านนโยบายการศึกษาและพัฒนาศักยภาพมนุษย์ ด้านอุดมศึกษา พรรคเพื่อไทย, นายสุทธิเกียรติ วีระกิจพานิช คณะทำงานด้านนโยบายการศึกษาและพัฒนาศักยภาพมนุษย์ ด้าน EdTech พรรคเพื่อไทย, รศ.ดร.จอมพงศ์ มงคลวานิช คณะทำงานด้านนโยบายการศึกษาและพัฒนาศักยภาพมนุษย์ ด้านอาชีวศึกษา พรรคเพื่อไทย, ดร.ธีรรัตน์ สําเร็จวาณิชย์ ผู้สมัคร ส.ส.กทม.เขตลาดกระบัง (ยกเว้นแขวงลำปลาทิว) เบอร์ 6 พรรคเพื่อไทย คณะทำงานด้านนโยบายการศึกษาและพัฒนาศักยภาพมนุษย์ ด้านกิจกรรมพัฒนาเยาวชน พรรคเพื่อไทย แถลงเปิดตัว คณะทำงานด้านนโยบายการศึกษาและพัฒนาศักยภาพมนุษย์ พรรคเพื่อไทย
ดร.ณหทัย กล่าวว่า ปัญหาการศึกษาในหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะภายใต้รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ สร้างความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา เสี่ยงหลุดจากระบบการศึกษาเพราะความยากจนในระดับรุนแรง มีนักเรียนยากจนและยากจนพิเศษรวมจํานวน 1.8 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 20 จากจํานวนนักเรียนในระดับเดียวกัน 9 ล้านคน เมื่อยากจนจึงหลุดจากการศึกษา และเพราะไม่มีการศึกษาจึงทำให้คนตกสู่หลุมความยากจนอีก การพัฒนาศักยภาพคนเท่านั้นจะเป็นทางออกพรรคเพื่อไทยจึงออกแบบนโยบายเพื่อการศึกษา ที่จะทำทั้งในระบบการศึกษา และ ออกแบบแพลตฟอร์มใหม่ให้คนได้เรียนรู้ตลอดชีวิต โดยโครงสร้างใหญ่นั้น นโยบายจะถูกคิดจากปรัชญาของพรรค นั่นคือนโยบายการศึกษาจะต้อง ‘ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส’ ให้กับผู้เรียน ผ่าน 6 นโยบายดังนี้
1.นโยบาย One Tablet per Child with free internet เพื่อขจัดความเหลื่อมล้ำของการเข้าไม่ถึงการศึกษา รวมทั้งยังเป็นปลดภาระของพ่อแม่ผู้ปกครอง เด็กทุกคนต้องได้เรียน
2.นโยบายสร้างระบบการเรียนรู้ดิจิทัลแบบครบวงจร “แพลตฟอร์ม Learn to Earn” เพื่อขจัดปัญหาเหล่านี้
2.1 ลดความเหลื่อมล้ำ ใครอยากเรียนอะไรต้องได้เรียน เนื้อหาหลากหลายทันสมัย เรียนสนุก
2.2 ขจัดปัญหาคนตกงานจะต้องหมดไป เพราะงานจะวิ่งเข้าผู้เรียน ผู้เรียนเห็นงานเห็นอาชีพเห็นรายได้ตอบแทนตั้งแต่ก่อนเรียน ระบบยังออกแบบช่วยให้มีงานทำเร็วที่สุด เพราะบางงานผู้จ้างงานไม่สนวุฒิ สนแค่เราทำงานได้หรือไม่มากกว่า
2.3 ระบบยังมีตัวช่วยทดสอบสมรรถนะขอผู้เรียน เพื่อเข้ากับเรื่องที่เรียนและหางานที่เหมาะสมกับสมรรถนะ เราจะไม่เอาลิงไปว่ายน้ำเอาปลามาปีนต้นไม้ ยิ่งค้นหาตัวเองเจอไว้เท่าไร ยิ่งฉายแววศักยภาพได้ไวขึ้น
2.4 ออกแบบการเรียนเองได้ ตั้งแต่เวลาเรียน ถ้าขยันก็สามารถจบไว แข่งกับตัวเอง หรือ ถ้าเรียนไปทำงานไปก็ค่อยๆสะสมหน่วยกิต ไปเรื่อยๆได้ เทียบโอน หรือย้ายสาขาวิชาเรียนได้หากไม่ชอบ หมดยุคของเรียนจนจบแล้วเพิ่งค้นพบตัวเองว่าไม่ชอบแต่ต้องทนเรียน
2.5 สร้างรายได้ใหม่ รายได้เสริม หรือเปลี่ยนอาชีพ ถ้ารู้สึกเบื่องานที่ทำอยู่ หรือเงินเดือนไม่เพียงพอ ผู้เรียนสามารถเข้ามาเรียนเพิ่มเพื่อหางานใหม่ หรือรับงานเสริมหลังเรียนเสร็จได้เลย
3.นโยบายจบปริญญาตรี อายุ 18 ปี ขจัดเนื้อหาการเรียนที่ทับซ้อนและไม่ทันสมัย โดยปรับระบบการเรียนเป็น 5-5-3 แทนระบบ 6-6-4 ลดเวลาเรียนในสิ่งที่ไม่จำเป็น ส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้เรียนเข้าสู่การทำงานเร็วขึ้น นโยบายนี้ลดรายได้เพิ่มรายจ่าย ในช่วง 4 ปี รายได้ที่สร้าง 4 ปี รายจ่ายด้านการศึกษาที่ลดลง 4 ปี เปรียบเสมือนได้เงิน 1 ล้านบาท ต่อคน ให้ช่วยกันสร้างรายได้ปลดหนี้ คืนความสุขความสบายใจสู่ผู้ปกครอง
4.นโยบายเรียนอาชีวะฟรีมีอยู่จริง ตั้งแต่ ปวช.-ปวส. เพราะเราเห็นความสำคัญของกลุ่มอาชีวะ น้องๆกลุ่มนี้เป็นแกนหลักในการผลักดันด้านอุตสาหกรรมของประเทศ เราเห็นค่าและอยากมอบโอกาส ตอบแทนเด็กกลุ่มนี้ด้วยการเรียนฟรี
5.นโยบาย 1 อำเภอ 1 ทุน ที่จะเป็นการรื้อฟื้นนโยบายในสมัยรัฐบาลไทยรักไทย เพื่อค้นหาเพชรในแต่ละอำเภอมาเจียรนัย ให้เด็กทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษาในต่างประเทศเพื่อกลับมาพัฒนาบ้านเกิดพัฒนาประเทศ
6.นโยบายโรงเรียน 2 ภาษาทุกท้องถิ่น เพื่อยกระดับการเรียนรู้ทั้งภาษาอังกฤษ ภาษาจีน และภาษา Coding ตั้งแต่ ป.1 เพื่อพัฒนาให้ทันต่อโลกที่เปลี่ยนไปแล้ว
ดร.ณหทัย กล่าวต่อว่า พรรคเพื่อไทยจะปรับปรุงกฎหมายและยกระดับกระทรวงศึกษาธิการให้มีประสิทธิภาพทั้งระบบมากยิ่งขึ้น โดยยึดนักเรียนและชุมชนเป็นศูนย์กลาง อาทิ
1.ทำหลักสูตรฐานสมรรถนะให้เกิดขึ้นจริง ลดเวลาเรียน และจัดตั้ง ธนาคารหน่วยกิต (Academic Credit Banking) ที่บันทึกและเชื่อมการศึกษาและการเรียนรู้ทุกระบบและทุกระดับ รวมทั้งประสบการณ์ เพิ่มทักษะการคิดวิเคราะห์ ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 และทักษะดิจิทัล
2.กระจายอำนาจให้โรงเรียนและคณะกรรมการสถานศึกษาให้สามารถบริหารจัดการงบประมาณและอัตรากำลังที่เหมาะสมกับบริบทของโรงเรียน และขจัดการละเมิดสิทธิผู้เรียน
3.ผลักดัน พ.ร.บ.การศึกษาฉบับใหม่ และ พ.ร.บ.การเรียนรู้ตลอดชีวิต
4.ลดภาระงานเอกสารที่ไม่จำเป็นและยกระดับความสำคัญของครู ดูแลสวัสดิภาพและสวัสดิการให้แก่ครู เพิ่มสมรรถนะครูให้เป็น Coach
ด้านน.ส..ลิณธิภรณ์ กล่าวว่า หากพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลจะเข้าไปแก้ปัญหาการศึกษาไทยและแก้ไขเพื่ออนาคตและความหลากหลาย ใน 3 ด้านหลัก ได้แก่
1.ปฏิรูประบบการสอบเข้ามหาวิทยาลัย ลดบทบาท TCAS และจะเน้นพัฒนาผู้เรียนให้มีความหลากหลาย เพราะข้อสอบเป้ฯแบบ Standardized tests ยังไม่มีการเปิดรับความหลากหลายในเชิงวัฒนธรรม โดย
1.1 โดย TCAS จะต้องมีความชัดเจนในการเฉลายและอธิบายข้อสอบ
1.2 ประกาศผลสอบรอบ Portfolio ก่อน เพื่อลดความทับซ้อนในการสอบ TCAS ลง และลดค่าใช้จ่ายในการสมัครสอบให้กับเด็ก
1.3 ทลายกำแพงการศึกษาผ่าน Leran to earn
2.แก้ปัญหาด้านสุขภาพจิตให้กับนักศึกษาในระดับอุดมศึกษา
3.นโยบายฟรีวีซ่า และยกระดับ Passport ไทยในการไปศึกษายังต่างประเทศ โดยไม่ต้องขอวีซ่าของพรรคเพื่อไทย จะช่วยให้เด็กไทยก้าวไกลเป็นพลเมืองโลก (Global citizen) โดยปัจจุบันไทยเจรจา Work and holiday เพียง 2 ประเทศ ได้แก่ ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ โดยจะมีการมองประเทศคู่สัญญาใหม่เพิ่มเติมด้วย และจะเจรจาเพิ่มจำนวนโควต้าเยาวชนในการไปเรียนต่อต่างประเทศด้วย
นายสุทธิเกียรติ กล่าวว่า การศึกษายุคใหม่ในโลก ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ภาษาที่ 2 หรือภาษาต่างประเทศ แต่ภาษา Coding หรือการเขียนภาษาโค้ด สำหรับโลกที่มีคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตเป็นเครื่องมือหลักในการเรียนและทำงาน คณะทำงานด้านนโยบายการศึกษาและพัฒนาศักยภาพมนุษย์ พรรคเพื่อไทย ได้ทดลองให้มีการสอนภาษาโค้ดดิ้ง ผ่านทางไกลให้เด็กระดับมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่อยู่พื้นที่ห่างไกล พบว่าเด็กบนเขา หรือในพื้นที่ห่างไกล สามารถเรียนรู้เข้าใจภาษาโค้ดดิ้งเบื้องต้นได้ภายใน 3 เดือน และนำความรู้ดังกล่าวไปบรรจุในแฟ้มผลงานตนเองเพื่อเสนอต่อโรงเรียน พรรคเพื่อไทยจึงเชื่อมั่นว่า ภาษาเขียนโค้ด จะเป็นภาษาที่จำเป็น ต้องเรียนรู้ส่งเสริม และเชื่อว่า ด้วยเทคโนโลยีที่เจริญในปัจจุบัน จะสามารถถ่ายทอดการเรียนการสอนภาษาเขียนโค้ดผ่านแอพพลิเคชันต่างๆ ไปยังผู้เรียนให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดได้
รศ.ดร.จอมพงศ์ กล่าวว่า วันนี้ ประเทศไทยมีรายได้ต่อประชากรอยู่ที่กว่า 7,000 ดอลลาร์สหรัฐ แต่หากมองไปที่ประเทศมาเลเซีย ที่เคยมีตัวเลขใกล้เคียงกับประเทศไทย ปัจจุบันมีรายได้ต่อประชากรอยู่ที่ 11,000 ดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่ประเทศไทยยังมีรายได้ต่อครัวเรือนต่ำกว่า 3,000 บาทต่อคน ซึ่งมีประมาณ 1.8 ล้านคน ดังนั้น การศึกษายุคใหม่ต้องเชื่อมโยงกับภาคเศรษฐกิจ ส่งเสริมให้คนมีงานทำตั้งแต่วันแรกที่เข้าศึกษา พรรคเพื่อไทยจะมุ่งเน้นระบบ Credit bank โดยเฉพาะกับนักศึกษาระดับ ปวช. ปวส. และระบบทวิภาคีให้เชื่อมโยงกับผู้ประกอบการที่เน้นอุตสาหกรรมที่ทันสมัย ตอบโจทย์โลกยุคใหม่ พร้อมผลักดันการเรียนรู้ตลอดชีวิต ใช้ Blockchian welfare ซึ่งเป็นสวัสดิการผ่าน Token ส่งเสริมการ Reskill-Upskill โดยใช้จุดแข็งของคนไทยคือ Soft power เทคโนโลยี และดิจิทัล ทั้งหมดนี้จะทำให้รายได้ของประชากรและเศรษฐกิจของประเทศไทยดีขึ้นอย่างแน่นอน
“เพื่อไทยจะเริ่มจัดแคมปัสทัวร์ไปยังมหาวิทยาลัยต่างๆ เพื่อสื่อสารถึงนโยบายด้านการศึกษาของพรรคเพื่อไทย โดยในวันที่ 21 เม.ย.66 จะจัดงาน ‘ตัวตึงถาม เพื่อไทยตอบเรื่องการศึกษา ตอย ถึงจะเรียนอยู่ก็หาตังค์ได้นะ รู้ยัง’ ที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย และจะออนทัวร์ในมหาวิทยาลัยต่างๆ ทั่วประเทศ”