“พิจารณ์”หวั่น“พท.” รับปากไม่เต็มคำไม่จับมือ”ตู่-ป้อม” ระบุอย่าเพิ่งปรักปรำ”เพื่อไทย” ปรับจุดยืนแลกคะแนนเสียงโค้งสุดท้าย แต่ถ้า พท. เป็นเช่นนั้นจริงก็ถือว่าเป็นเรื่องน่ากลัวมาก เหน็บ ‘ประวิตร’ อยากเป็นนายกฯ ตัวสั่น หนีเงารัฐประหาร
เมื่อวันที่ 22 เม.ย.66 นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทย (พท.) ประกาศชัดเจนว่าจะไม่จับมือกับพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เพราะมีส่วนร่วมทำรัฐประหาร คิดว่าเหตุใดจึงมาประกาศในช่วงนี้ ว่า เรื่องนี้อาจจะต้องถามพรรค พท. แต่สำหรับความคิดส่วนตัวในฐานะผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง การประกาศไม่จับมือกับทั้งสองพรรคยังถือว่าไม่ชัดเจนเท่าไหร่ ถ้ามีสร้อยติดมาคำท้ายว่าไม่จับมือกับทั้งสองพรรคไม่ว่าผลการเลือกตั้งจะออกมาเป็นอย่างไร น่าจะถือว่าชัดเจนที่สุด ถ้าเทียบเรื่องความชัดเจนกับการประกาศของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก.ก. ตนคิดว่านายพิธาผู้ชัดเจนกว่า
เมื่อถามถึงกรณีมีข้อสังเกตว่าเหตุผลที่พรรค พท. เลือกออกมาประกาศจุดยืนในช่วงนี้เป็นเพราะกระแสของพรรคก.ก. พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเพราะประกาศจุดยืนอย่างชัดเจนตั้งแต่ต้นว่าจะไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคทหารจำแลง นายพิจารณ์ กล่าวว่า ต่อข้อสังเกตดังกล่าวก็อาจจะเป็นการปรักปรำและรุนแรงต่อพรรคพท. มากเกินไป และหากพรรค พท. เป็นเช่นนั้นจริงก็ถือว่าเป็นเรื่องน่ากลัวมาก ที่จุดยืนทางการเมืองจะเปลี่ยนแปลงไปเพื่อแลกกับคะแนนนิยม
เมื่อถามว่า จากคะแนนนิยมของพรรค พท. กับพรรค ก.ก. ที่ทะยานสูงขึ้น จะสามารถจับมือตั้งรัฐบาลแค่ 2 พรรคได้หรือไม่ นายพิจารณ์ กล่าวว่า ตนคิดว่าทุกอย่างเป็นไปได้ เพราะประชาชนน่าจะเห็นด้วยว่าหน้าตาของรัฐบาลหน้าที่จะเป็นทางออกของประเทศไทยน่าจะเป็นขั้วของพรรคร่วมฝ่ายค้านของรัฐบาลที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามตนเชื่อมั่นว่าผลการเลือกตั้งจำนวนส.ส.ของพรรคก.ก. จะเป็นตัวกำหนดหน้าตาของรัฐบาลหลังการเลือกตั้งอย่างแน่นอน หลายวันก่อนที่พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรค พปชร. โพสต์จดหมายฉบับที่ 9 ถ้าอ่านดูก็พบว่าทำตัวเป็นเหมือนผู้จัดการรัฐบาล ทั้งที่ความจริง จำนวนส.ส.ของพรรคก.ก. ต่างหาก ที่จะกำหนดว่ารัฐบาลรอบหน้าจะหน้าตาอย่างไร ทั้งนี้ต้องเรียนพี่น้องประชาชนอย่างตรงไปตรงมาว่าถ้าอยากจะให้ทหารออกจากการเมือง ก็ให้กาพรรคก.ก.ให้มากที่สุด
เมื่อถามถึงเหตุผลที่พล.อ.ประวิตร พยายามย้ำว่าไม่เกี่ยวข้องกับการทำรัฐประหาร นายพิจารณ์ กล่าวว่า พล.อ.ประวิตร อยากเป็นรัฐบาลและอยากเป็นนายกฯ จนตัวสั่น และสุดท้ายแล้วส.ว. 250 คนไม่มีผลต่อหน้าตาของรัฐบาลหน้า ถ้าพรรคร่วมฝ่ายค้านของรัฐบาลที่ผ่านมาจับรวมกันแน่นๆ และได้ส.ส. 280 คนขึ้นไปจนถึง 300 กว่าคนมันก็จบแล้ว ไม่เกี่ยวว่าส.วจะโหวตอย่างไรเพราะ การจะเป็นนายกฯ และจับมือกับส.ว. เพื่อเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย มันทำงานไม่ได้ เพราะไม่ได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องประชาชนจริงๆ ฉะนั้นการที่พล.อ.ประวิตรออกมาพูดเช่นนี้เป็นการพยายามมาขายความเป็นคนกลางก้าวข้ามความขัดแย้งหรือการพยายามทำตัวเป็นผู้จัดการรัฐบาล ก็ขอให้รอดูผลการเลือกตั้งก่อนว่าอย่างไรแล้ว พรรคฝั่งรัฐบาลปัจจุบันรวมกันแล้วน่าจะไม่เกิน 200 เสียง
เมื่อถึงกรณีรัฐบาลเตรียมทำเรื่องถึงคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อขออนุมัติใช้งบประมาณช่วยเหลือประชาชนจากปัญหาค่าไฟแพง ในทางกฎหมายสามารถทำได้หรือไม่ นายพิจารณ์ กล่าวว่า ในแง่ของกฎหมาย ตนไม่มั่นใจว่าทำได้หรือไม่เพราะความจริงแล้วการเป็นรัฐบาลรักษาการมีอำนาจตามกฎหมายอยู่ว่าทำอะไรได้หรือทำอะไรไม่ได้ แต่ในแง่ของการออกมาทำเช่นนี้ถือเป็นการสร้างความนิยมให้ตัวเองก่อนการเลือกตั้งอย่างชัดเจน เพราะพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ อยู่มา 8 ปีกลับไม่ทำ จึงเป็นเรื่องที่น่าเศร้าด้วยที่ประชาชนต้องมารับกรรมเสียค่าไฟแพง เพียงเพราะรัฐบาลออกนโยบายอุ้มกลุ่มทุน อย่างไรก็ตามตนก็มองว่าเป็นผลประโยชน์ของประชาชนที่จะได้ประโยชน์จากมาตรการลดค่าไฟ