“เด็กก้าวไกล” สาวไส้ “รุ่นใหญ่” อัด “นิพนธ์” ใช้อำนาจรัฐมนตรี ผลักดันโครงการอุตสาหกรรมจะนะ เอื้อประโยชน์ “เครือญาติ-นายทุน” โดยมีการกว้านซื้อที่ดิน-ออกโฉนดทับที่ทำกินชาวบ้าน ด้าน “มท.2” ออกตัวไม่เคยใช้อำนาจเอาที่ดินปชช. หรือเอื้อประโยชน์พวกพ้อง-นายทุน
เมื่อวันที่ 18 ก.พ. เวลา 14.55 น. ที่รัฐสภา นายประเสริฐพงษ์ ศรนุวัตร์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายว่า นายนิพนธ์ บุญญามณี รมช.มหาดไทย ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริต เอื้อประโยชน์ให้ตนเองและพวกพ้อง ทุกวันนี้ชาวบ้าน อ.จะนะ จ.สงขลา ได้ตั้งคำถามกับโครงการนิคมอุตสาหกรรมจะนะ ว่าเป็นโครงการที่ผู้มีผลประโยชน์แอบแฝง เป็นนักการเมืองใหญ่ในพื้นที่ โครงการดังกล่าวแท้จริงไม่มีการพัฒนา แต่เต็มไปด้วยการทำลายทรัพยากร ทำลายอาชีพ ทำลายเศรษฐกิจของชาวจะนะ สัตว์ทะเลก็จะหาย การท่องเที่ยวนิเวศน์ รวมทั้งธุรกิจเลี้ยงนกเขาแข่งขันก็จะหายไป การที่รัฐบาลไปขายฝันกับชาวบ้าน ว่าจะมีเม็ดเงินลงทุน 1.8 หมื่นล้านบาท เกิดอุตสาหกรรมเป็นเมืองอัจฉริยะ มีการจ้างงานในพื้นที่ 1 แสนตำแหน่ง ความเป็นจริงเป็นไปไม่ได้ เพราะดูจากนิคมอุตสาหกรรมใกล้ๆ ในพื้นที่สงขลาตอนนี้เป็นนิคมอุตสาหกรรมร้าง โอกาสที่อุตสาหกรรมจะเกิดมีน้อยมาก แต่รัฐบาลและนายนิพนธ์เร่งผลักดันโครงการนี้ เพราะบริษัท ทีพีไอพีพี มีแผนสร้างโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ในพื้นที่ ดังนั้นโครงการดังกล่าวอนาคตจะกลายเป็นโรงไฟฟ้าของกลุ่มทุนที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดแนบแน่นกับผู้มีอำนาจในรัฐบาล และเคยมีเรื่องอื้อฉาวเรื่องการไซฟ่อนเงิน หรือคดีเงินบริจาค 258 ล้านบาท ซึ่งนายนิพนธ์เป็นหนึ่งในคนที่ได้ประโยชน์ด้วย และบริษัทดังกล่าวยังมีชื่อเป็นผู้บริจาคเงินผ่านโต๊ะจีนประชารัฐอีกด้วย ทำให้สงสัยว่า โครงการนิคมอุตสาหกรรมจะนะเกิดขึ้นเพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มทุนหรือเพื่อใคร
นอกจากนั้น ครม.ยังมีมติให้กรมโยธาธิการและผังเมือง แก้ไขผังเมือง จากพื้นที่ 3 ตำบล ในอำเภอจะนะ จากเดิมที่เป็นพื้นที่ชนบท เกษตรกรรม และพื้นที่อนุรักษ์ป่าไม้ กลับถูกเปลี่ยนเป็นพื้นที่อุตสาหกรรมหนัก นอกจากนั้นยังพบว่ามีคนกว้านซื้อที่ดินไว้แล้วในเขตที่รู้อยู่แล้วว่าจะเปลี่ยนเป็นพื้นที่อุตสาหกรรมหนัก โดยนายหน้าที่ดินรู้ดีว่าคนที่กว้านซื้อที่ดินไปขายให้นายทุน ตนนี้ซื้อไปแล้วกว่า 1.7 หมื่นไร่ ซึ่งก็คือนายนิพนธ์ โดยดำเนินการในนามของลูกชายที่เป็นเจ้าของบริษัทซื้อขายที่ดิน นอกจากนั้นยังมีทนาย และเครือญาติใกล้ชิดของนายนิพนธ์ ทั้งน้องภรรยา และคู่เขย
“ขอท้านายนิพนธ์ถ้าบริสุทธ์ใจริง ให้เปิดเผยข้อมูลซื้อขายที่ดิน ของกรมที่ดินในปี 62-63 เพื่อให้สภาตรวจสอบ เพราะพบการซื้อที่ดินผิดปกติในช่วงเดือนม.ค.63 โดยมีการกว้านซื้อที่ดิน 2 กลุ่มใหญ่ กลุ่มแรกคือกลุ่มคนใกล้ชิดนายนิพนธ์ รวม 23 ธุรกรรม พื้นที่ 464 ไร่ มูลค่า 110 ล้านบาท โดยราคาเฉลี่ยไร่ละ 2 แสนบาทเศษ อีกกลุ่มคือบริษัท ทีพีไอ โพลีนเพาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ “ทีพีไอพีพี” รวม 25 ธุรกรรม พื้นที่ 450 ไร่ มูลค่า 271 ล้านบาท โดยราคาเฉลี่ยไร่ละ 6 แสนบาท จะพบว่าราคาที่กลุ่มบริษัททีพีไอพีพีซื้อที่ดินจากชาวบ้านในราคาที่สูงกว่ากลุ่มคนใกล้ชิดของนายนิพนธ์ซื้อ ราคาต่างกันเท่าตัว ทำให้เห็นว่าเครือข่ายครอบครัวของนายนิพนธ์รู้ล่วงหน้าว่าจะมีมติครม.ออกมาวันไหน ที่จะมีผลต่อราคาที่ดิน ถึงเร่งซื้อ เร่งโอน รวบรวมที่ดินตั้งแต่ก่อนมติ ครม. ประกาศเขตพัฒนาพิเศษจะนะ นายนิพนธ์จึงมีพฤติกรรมใช้ข้อมูลภายในเอื้อประโยชน์ให้ครอบครัวกว้านซื้อที่ดินชัดเจน
นายประเสริฐพงษ์ กล่าวอีกว่า ยังมีกรณีการซื้อขายที่ดินอย่างผิดปกติ โดยมีที่ดินแปลงที่ ทีพีไอพีพีรับซื้อจากเครือญาตินายนิพนธ์ 2 คน โดยซื้อที่ดิน นส.3ก พื้นที่รวมกัน ไม่น้อยกว่า 361 ไร่ มูลค่า 226 ล้านบาท โดยที่ดินแปลงทั้งหมดที่เครือญาตินายนิพนธ์ 2 คน เสนอขายนี้มาจากบริษัท ทาวน์แอนด์ซิตี้ พร๊อพเพอร์ตี้ จำกัด ที่ลูกชายนายนิพนธ์ถือหุ้นอยู่ 75% และลูกสาวนายนิพนธ์ถือหุ้นอยู่ 17% โดยรับซื้อมาในราคารวมกันประมาณ 78 ล้านบาท ผ่านไป 4 วันขาย ได้ 224 ล้านบาท ฟันส่วนต่าง 147 ล้านบาท จึงสงสัยว่าการออกแบบธุรกรรมแบบนี้ เป็นการซื้อขายที่ดินอำพรางหรือไม่ ทั้งยังพบว่า หลังจาก ครม. มีมติเดินหน้านิคมอุตสาหกรรมจะนะแล้ว คณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) มีมติให้สำนักงานที่ดิน จ.สงขลา อ.จะนะ, อ.เทพา, อ.นาทวี สงขลา และ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ สนับสนุนการออกเอกสารสิทธิ์ที่ดินทำกินให้กับประชาชนเป็นการเร่งด่วน โดย “ศูนย์อำนวยการเดินสำรวจออกโฉนดที่ดิน จ.สงขลา-นครศรีธรรมราช” เร่งดำเนินการออกโฉนดที่ดินในพื้นที่เฉพาะ 4 ตำบล ต.นาทับ, ตลิ่งชัน, ป่าชิง, บ้านนา ซึ่งที่อยู่ในเขตสีม่วงทั้งหมด ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เพราะจ.สงขลามี 16 อำเภอ มีเพียง 4 อำเภอที่อยู่ในโครงการสำรวจออกโฉนด ดังนั้นเป็นการรวบรวมที่ดิน นส.3ก ให้บริษัททีพีไอพีพีไปออกโฉนดหรือไม่
นอกจากนั้นยังมีหลายกรณีที่ไปออกโฉนดที่ดินทับที่ดินทำกินของชาวบ้าน และยังมีการใช้อิทธิพล ข่มขู่กดดันให้ชาวบ้านทำข้อตกลงขายที่ดินอย่างไม่เป็นธรรม เช่น กรณีของนายสุวีต โสะหนิ ที่ถูกเครือข่ายนายนิพนธ์ทำสัญญาความตกลงขายสิทธิ์เหนือที่ดินอย่างไม่เป็นธรรม ซึ่งได้มีการฟ้องคดีในศาลไปแล้ว เมื่อต้นเดือนก.พ.ที่ผ่านมา โดยนายสุวีด โสะหนิ ทำกินบนที่ดิน 36 ไร่ ในหมู่ที่ 3 ต.ตลิ่งชัน ที่ดินแปลงนี้ได้รับตกทอดมาจากบิดา พบว่าที่ทำกินตน ถูกออกเอกสารสิทธิ์ทับ เป็น นส.3ก 3 ฉบับ ซึ่งนายสุวีดได้มีการร้องคัดค้าน แต่ต่อมาเมื่อมีโครงการ กลับมีคนมารังวัดที่ดินออกโฉนดที่ดินดังกล่าวในชื่อบริษัท ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ จำกัด เมื่อไปตรวจสอบดูเส้นทางการเปลี่ยนมือ พบว่าเอกสารสิทธิ์ นส.3ก ดังกล่าว มีการเปลี่ยนชื่อเจ้าของเป็นชื่อเครือญาติใกล้ชิดของนายนิพนธ์ก่อนนำไปขายต่อให้บริษัท จากนั้นมีการเรียกชาวบ้านไปเคลียร์ที่บ้านของนายนิพนธ์ เพื่อให้นายสุวีดและชาวบ้านอีกหลายคนยอมขายสิทธิ์ครอบครองที่ดินในราคาถูก ทั้งนี้ในฐานะนักการเมืองการที่คนใกล้ชิดของท่านมีพฤติกรรมที่เอารัดเอาเปรียบประชาชนแบบนี้ เหมาะสมกับจริยธรรมนักการเมืองหรือไม่ กรณีนี้ไม่ใช่กรณีเดียวที่มีปัญหา มีที่ร้องเรียนอีกหลายเรื่อง นอกจากนั้นบริษัททีพีไอพีพีลงทุนไปแล้วหลายพันล้านบาท และปีที่แล้วมีการออกหุ้นกู้เพื่อซื้อที่ดินจะนะ 4,000 ล้านบาท นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมรัฐบาลทหารที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับนายทุนต้องดันโครงการให้เกิด และยังเกิดกรณีเวทีรับฟังความคิดเห็นอัปยศ ใช้กำลังตำรวจทหารกว่าพันนาย ปิดกั้นประชาชนไม่เห็นด้วยไม่ให้เข้าร่วม และมีการส่งทหารตำรวจไปข่มขู่กดดันประชาชนไม่ให้ออกมาเคลื่อนไหว บางคนถูกกล่าวหาว่าเป็นกลุ่มก่อการร้ายแบ่งแยกดินแดน ดังนั้นนี่คือโครงการที่ นายทุนคิด ทหารดัน นักการเมืองหาประโยชน์ เป็นการทำลายชีวิตชาวจะนะเพื่อผลประโยชน์ตัวเอง
นายประเสริฐพงษ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า นายนิพนธ์ ในฐานะ รมช.มหาดไทย ที่กำกับดูแลกรมที่ดิน แต่กลับมีเครือญาติเป็นนายหน้าค้าที่ดินในพื้นที่ที่ตัวเองผลักดันโครงการ และร่วมออกมติ ครม.ผลักดัน มีการออกนโยบาย และใช้อำนาจในทางบริหารเร่งรัดออกโฉนดที่ดินในพื้นที่ ใช้ข้อมูลภายในในฐานะรัฐมนตรี ร่วมครม.ที่อนุมัติดำเนินโครงการ เอื้อประโยชน์ให้เครือญาติกว้านซื้อที่ดิน รวมทั้งรู้เห็นเป็นใจให้เครือข่ายตนใช้อิทธิพลทำข้อตกลงขายที่ดินในราคาไม่เป็นธรรม รวมทั้งบังคับ ข่มขู่ กดดัน ให้ชาวบ้านยอมขายสิทธิ์เหนือที่ดินทำกินในราคาถูก ตนจึงไม่สามารถไว้วางใจให้นายนิพนธ์ต่อไปได้ รวมถึงไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ที่รู้อยู่แล้วว่าคนคนนี้มีประวัติที่ไม่โปร่งใส มีเรื่องร้องเรียนอยู่ใน ป.ป.ช. นับ 10 คดี แต่ท่านก็ยังแต่งตั้งขึ้นดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี และยังเป็นคนผลักดันโครงการเขตพัฒนาพิเศษจะนะ ที่เอื้อประโยชน์กลุ่มทุนและเครือข่ายของนายนิพนธ์มหาศาล ตนจึงไม่สามารถไว้วางใจพล.อ.ประยุทธ์ ให้สามารถดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไปเช่นเดียวกัน และตนก็เชื่อว่าชาวจะนะ และคนไทยทั้งประเทศ ก็ไม่ไว้วางใจท่านเช่นเดียวกัน
จากนั้นนายนิพนธ์ บุญญามณี รมช. มหาดไทย ลุกขึ้นชี้แจงเรื่องที่ดินจะนะว่า เรื่องที่ดินที่จะนะเป็นเรื่องที่นายประเสริฐพงศ์ ไปเอาข้อมูลมาจากฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับโครงการนิคมอุตสาหกรรมจะนะ ที่เขาตัดแปะมาให้ ท่านก็ดีใจ คดีข้อพิพาทที่ดิน 3 แปลงนั้นไม่ใช่เพิ่งมีคดี แต่ได้นำเรื่องไปร้องที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินมาแล้ว และบัดนี้สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินได้แจ้งเรื่องดังกล่าวมาที่อธิบดีกรมที่ดิน เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. 2563 โดยวินิจฉัยว่า ได้พิจารณาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายแล้ว กรณีร้องเรียนศูนย์อำนวยการเดินสำรวจออกโฉนดที่ดิน จ.สงขลา จ.นครศรีธรรมราช ดำเนินการรังวัดเพื่ออกโฉนดที่ดินจำนวน 3 แปลง ทับซ้อนกับที่ดินบริเวณที่ถูกร้องเรียนครอบครองทำประโยชน์นั้น ข้อเท็จจริงพบว่า บริษัท ทีพีไอ โพลีนเพาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้มีชื่อถือสิทธิครอบครองตามหลักฐานหนังสือทำประโยชน์ นส.3ก ในพื้นที่ จ.สงขลา และจากการที่ศูนย์ฯ จ.นครศรีธรรมราช จัดรูปแปลงโฉนดที่ดิน ผลของการรังวัดปรากฏว่าหนังสือรับรองสิทธิการทำประโยชน์ นส.3ก ทั้ง 3 แปลงตั้งอยู่บริเวณที่ดินของผู้ร้องครอบครอง จึงเป็นการโต้แย้งสิทธิในที่ดิน และปัจจุบันโครงการเดินสำรวจได้สิ้นสุดโครงการไปแล้ว และได้มอบงานต่อให้สำนักงานที่ดิน จ.สงจลา สาขาจะนะ ดำเนินการต่อ ขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมหลักฐาน และเอกสาร และยังไม่มีการออกโฉลดที่ดินตามโครงการเดินสำรวจตามที่มีการคัดค้านแต่อย่างใด จึงเห็นว่าศูนย์ฯ ได้ดำเนินการถูกต้องตามกฎหมายแล้ว ดังนั้นผู้ตรวจการแผ่นดินจึงเห็นควรยุติเรื่องร้องเรียนดังกล่าว
นายนิพนธ์ กล่าวต่อว่า เรื่องที่นำมากล่าวหาตน ใช้อำนาจหน้าที่และมีการกล่าวหาว่าเอาที่ดินของประชาชนไปใช้ประโยชน์ ถือเป็นการกล่าวหาเท็จทั้งสิ้น เพราะเป็นการพิพาทกันระหว่างสิทธิครอบครองที่ดิน เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว และเจ้าหน้าที่ที่ดินก็ต้องให้คนที่มี นส.3ก มากกว่าคนที่ไม่มีเอกสารอะไรเลย ว่าที่ดินแปลงนั้นเป็นของเขา คนที่ไม่เห็นด้วยก็เอาเรื่องไปฟ้องศาล เป็นเรื่องปกติทางแพ่ง แต่ผู้อภิปรายกับปะติดปะต่อ จับแพะชนแกะ แล้วแปะเอกสารมาว่าตน ทั้งนี้ตนได้ขอเอกสารจากสำนักงานที่ดินมาแล้วว่า เรื่องนี้มีการพิพาทกันอยู่ และบริษัทเอกชนก็ไปแจ้งความดำเนินคดีกับผู้บุกรุก ไม่เกี่ยวอะไรกับตน และเอกสารที่เป็นข้อพิพาทออกตั้งแต่ปี 2517 มีการโอนกรรมสิทธิ์มาต่อเนื่องเป็นเรื่องปกติของการซื้อขายที่ดิน แล้วจะมาบอกว่า ตนรังแกชาวบ้านได้อย่างไร ข้อมูลที่นายประเสริฐพงศ์ นำมาอภิปรายไม่เป็นความจริง
ส่วนที่กล่าวหาว่าตนไปสนิทกับเจ้าหน้าที่ที่ดิน แล้วเอื้อประโยชน์พวกพ้อง ยืนยันว่าแปลงที่เจ้าหน้าที่ที่ดินจังหวัดมีญาติพี่น้องที่จะได้รับจากการสำรวจอะไรหรือไม่ ไม่เกี่ยวอะไรกับตนและไม่จริง ที่จะให้เจ้าหน้าที่ที่ดิน จัดสรรที่ดินให้คนสนิท เพราะเขามาเป็นเจ้าหน้าที่ที่ดิน จ.สงขลา ก่อนที่ตนจะเป็นรัฐมนตรีช่วยมหาดไทย และคนเป็นนายก อบจ. จะไปย้ายที่ดินจังหวัดได้อย่างไร นายประเสริฐพงศ์พูดเสมือนว่าตนใช้อำนาจหน้าที่ย้ายเจ้าหน้าที่ที่ดินจังหวัดเพื่อพวกพ้องตัวเอง และกล่าวหาว่าตนประกาศเขตสำรวจออกโฉลดที่ดินจังหวัดเพื่อพวกพ้องตนเอง ยอมรับว่าที่ดินจังหวัดเป็นคนอำเภอจะนะ แต่มาเป็นก่อนที่ตนจะมาเป็นรมช.มหาดไทย และตนก็เป็นคนที่นาทับ จึงรู้เรื่องทั้งหมด ว่าใครเป็นยังไง และญาติที่ดินจังหวัดออกเอกสารสิทธิก็ไม่ได้อาศัยคำประกาศของตน แต่อาศัยคำประกาศของกระทรวงมหาดไทย และคำประกาศของกระทรวง ก็ไม่ได้มีแค่พื้นที่ที่กล่าวอ้าง ถือว่าท่านโกหกกลางสภาฯ ใช้เอกสารไม่จริงจงใช้ให้ประชาชนเข้าใจผิด ดังนั้นนายประเสริฐพงศ์ ต้องดูเอกสารให้รอบครอบกว่านี้
“ผมเป็นผู้แทนราษฎรมา 8 สมัย 25 ปี ไม่ใช้เอกสารทำนองนี้มาอภิปรายในสภาฯ และที่บอกว่าออกเอกสาร เอาไปขายนายทุน ก็ขอให้ไปดูเอกสารทั้ง 7 แปลงว่าเขาออกโดยชอบ ไม่ได้ออกรุกล้ำพื้นที่สาธารณะ ถ้าผมตรวจเจอว่าออกรุกล้ำที่สาธารณะ จะดำเนินคดีอย่างเด็ดขาดกับเจ้าหน้าที่ทุกคน แต่ถ้าเป็นสิทธิชอบธรรมที่เขาควรจะได้ เขาต้องได้ ยืนยันว่านโยบายการเดินออกสำรวจที่ดิน เป็นนโยบายที่ประชาชนพอใจ เพราะการได้โฉนดเป็นความมั่นคงในทรัพย์สินและชีวิต ขอให้มั่นใจได้ว่าไม่มีการเอื้อประโยชน์ในการออกโฉนดและไปขายให้นายทุนไม่จริง” นายนิพนธ์กล่าว