วันจันทร์, พฤศจิกายน 25, 2024
spot_img
หน้าแรกNEWSก้าวไกลฉะครูตั้นไร้ความสามารถ เจอโต้รับฟัง-ไม่เคยหนีปัญหานร.
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

ก้าวไกลฉะครูตั้นไร้ความสามารถ เจอโต้รับฟัง-ไม่เคยหนีปัญหานร.

“ก้าวไกล” ฉะ “ครูตั้น-ณัฎฐพล” ไร้ความสามารถ ปล่อยนร.ยากจน ชวดเงินช่วยเหลือ แถมสั่งปิดโรงเรียนช่วงโควิด ทำให้ “ผู้ปกครอง-นร.” รับผลกระทบแบบตามมีตามเกิด ด้านรมว.ศธ.ยัน รับฟังปัญหา-ข้อเรียนร้องของนร. ไม่เคยหนี วอนหันมาช่วยยกให้การศึกษาเป็นวาระแห่งชาติ

เมื่อวันที่ 18 ก.พ.64 ที่รัฐสภา นายปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.พิษณุโลก พรรคก้าวไกล อภิปรายเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล โดยกล่าวหานายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ ว่า นายณัฏฐพลมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบอนาคตของนักเรียนไทย และรับผิดชอบดูแลครูกว่า 6 แสนคน ใช้งบประมาณด้านการศึกษาปีละมากกว่า 4 แสนล้านบาท แต่กลับใช้อำนาจไปเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของตัวเอง แลกกับการไร้ปัจจุบันและไร้อนาคตของนักเรียนและครูทั่วประเทศ ภาพรวมคุณภาพการศึกษาของประเทศไทยตกต่ำลงเรื่อยๆ โดยเฉพาะตั้งแต่มีการรัฐประหาร เพราะมีการครอบงำยัดเยียดเนื้อหาต่างๆ สถาปนาอำนาจนิยมในโรงเรียนที่จากเดิมมีมากอยู่แล้ว ให้กลายเป็นยิ่งสาหัสมากขึ้น นักเรียนต้องอยู่ในเงามืดของเผด็จการ และเป็นเผด็จการที่เข้ามาได้และอยู่ต่อได้ทุกวันนี้ ด้วยการปูทางจากรมว.ศึกษาธิการ ถึงสิ้นปี 63 เรามีเยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปีอย่างน้อย 5 คนถูกตั้งข้อหาละเมิดพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ข้อหายุยงปลุกปั่น และอย่างน้อยหนึ่งคนถูกตั้งข้อหา 112 นอกจากนี้ มีการสำรวจว่ากลุ่มที่เคลื่อนไหวกว่า 9 ใน 10 คน ถูกครูทำร้ายจิตใจ ถูกล่วงละเมิดในรูปแบบอื่นๆอีกสารพัด มีเรื่องร้องเรียนมากกว่า 103 กรณีจากนักเรียนที่ถูกละเมิดสิทธิในการแสดงออกทางการเมือง

นายปดิพัทธ์ กล่าวต่อว่า นายณัฏฐพลยังปล่อยให้งบประมาณกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาถูกตัดไป 1,000 ล้านบาท ทำให้นักเรียนอย่างน้อย 2-3 แสนคน เข้าไม่ถึงความเสมอภาคทางการศึกษา แม้จะเป็นแค่เงิน 3,000-4,000 บาทต่อปีที่ให้กับนักเรียนคนหนึ่ง แต่นั่นหมายถึงหนังสือ ชุดนักเรียน รองเท้า อุปกรณ์การเรียน และชีวิตของนักเรียนคนหนึ่ง เรื่องราวอัปยศนี้เกิดขึ้นในวันที่ 12 ม.ค.63 มีการประชุม ครม. และมีมติออกมา เห็นชอบแผนการใช้เงินของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ประจำปีงบประมาณ 2565 วงเงินทั้งสิ้น 7,635 ล้านบาท แต่วันที่ 13 ม.ค.64 กลับมีการเปลี่ยนแปลงงบฯเหลือ 6,556.86 ล้านบาท ด้วยเหตุผลในหนังสือของสำนักงบประมาณว่าเป็น ภาระทางการคลัง ขณะที่ในเดือนเดียวกัน รัฐบาลอนุมัติงบประมาณ 473 ล้านบาทให้กระทรวงกลาโหมใช้แก้โควิด และยังได้อนุมัติงบประมาณให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 191 ล้านบาท รักษาความสงบเรียบร้อยในการชุมนุม ท่านไม่คัดค้านการเพิ่มงบให้กลาโหม และการปราบปรามการชุมนุม แต่งบประมาณเพื่อความเสมอภาคเพื่อการศึกษา ท่านกลับปล่อยให้มีการลักไก่เปลี่ยนแปลงมติ ครม. นักเรียนยากจนพิเศษกว่า 3 แสนคนหมดโอกาสทันที ท่านโยนพวกเขาทิ้งไป ไม่มีความยุติธรรมในหัวใจ ไม่มีจริยธรรมของการเป็นรัฐมนตรี ไม่มีความสามารถในการเป็นรัฐมนตรี

นายปดิพัทธ์ กล่าวต่อว่า นายณัฏฐพลแม้มีความพยายามพอสมควร ในการเสนอให้ปรับค่าอาหารกลางวันของนักเรียน และเปลี่ยนจากการให้เท่ากันหมด มาเป็นการให้ตามขนาดของโรงเรียน เป็นการปรับขึ้นค่าอาหารกลางวันครั้งแรก ตั้งแต่ปี 56 แต่ก็ขึ้นมาบาทเดียว สุดท้ายนักเรียนก็ยังหิวเหมือนเดิม เพิ่มไข่สักฟองก็ยังไม่ได้ ทั้งนี้ขณะที่ทั่วโลกเกิดสถานการณ์โควิด สิ่งที่นายณัฐพลทำคือการขานรับการประกาศของ ศบค.ทันที คือการปิดโรงเรียนอย่างรวดเร็ว ไม่มีทางเลือก ซ้ำเติมความเหลื่อมล้ำที่สถานการณ์ปกติก็แย่อยู่แล้ว ให้สาหัสขึ้นอีกในสถานการณ์โควิด ปีที่แล้วเมื่อเกิดการระบาดรอบแรก รัฐมนตรีอาจจะมั่วไปบ้างยังพอเข้าใจได้ แต่การระบาดรอบที่สอง ไม่ได้มีปัจจัยที่เกิดจากโรงเรียนแม้แต่กรณีเดียว แต่รัฐมนตรีสั่งการอย่างรวดเร็วให้ปิดโรงเรียน ปล่อยให้ครู ผู้ปกครอง และนักเรียน รับมือผลกระทบจากการปิดโรงเรียนแบบตามมีตามเกิด

นายปดิพัทธ์ กล่าวว่า ทุกครั้งที่มีคำสั่งปิดโรงเรียน สังคมไทยที่มีครอบครัวแหว่งกลางจำนวนมาก เด็กนักเรียนจำนวนมากไม่ได้อยู่กับพ่อ-แม่ มีแต่ตา-ยายที่ทุกวันนี้ยังต้องไปต่อแถวรับเงินเยียวยาเพราะไม่มีสมาร์ทโฟน ใครจะมีปัญญาไปดูแลหลานให้เรียนออนไลน์ได้ โรงเรียนขนาดเล็กกว่า 1.5 หมื่นแห่งจะทำอย่างไร โรงเรียนในพื้นที่ป่าที่ไม่มีไฟฟ้าโรงเรียนจะทำอย่างไร นอกจากจะจัดการความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาในสถานการณ์โควิดไม่ได้แล้ว นายณัฐพลยังประกาศให้นักเรียนเลื่อนชั้นอัตโนมัติโดยไม่ต้องสอบ นี่คือความไม่เข้าใจ ไม่เห็นความสำคัญของการประเมินผล ปล่อยให้เวลาของเด็กสูญเปล่าไปโดยสิ้นเชิง แทนที่จะจัดให้มีการสอนเสริมในเนื้อหาสำคัญ ก่อนให้นักเรียนเลื่อนชั้นก็ยังดี แต่นี่ปล่อยให้เลื่อนชั้นโดยไม่ทำอะไรเลย

“การปิดโรงเรียน มาตรการการศึกษาที่ผิดพลาดในสถานการณ์โควิด การมีรัฐมนตรีศึกษาธิการที่ไม่ได้เรื่อง เป็นความเสียหายไปหลายรุ่น หลาย Generations นี่หรือคือคนที่อ้างว่าไปดูงานมาแล้วทั่วโลก ได้เป็นรัฐมนตรีเพราะมีคุณสมบัติ ผมคิดไม่ออกจริงๆ ว่าถ้าท่านไม่มีนกหวีด และ 250 ส.ว.โหวตให้เป็นรัฐบาล คนที่ไร้คุณสมบัติอย่างนี้จะมาเป็นรัฐมนตรีได้ยังไง” นายปดิพัทธ์กล่าว

นายปดิพัทธ์ กล่าวต่อว่า ส่วนปัญหาของลูกจ้างชั่วคราวสังกัด สพฐ. มีมาช้านาน แต่ไม่เคยมีครั้งไหนจะย่ำแย่ขนาดนี้ กรณีที่สะเทือนใจที่สุดคือ วันที่ 24 ก.ย.62 มีหนังสือส่งไปถึงผู้อำนายการโรงเรียนทุกโรงเรียนในสังกัด ระบุว่าสัญญาจ้างของลูกจ้างชั่วคราวทุกคน จะสิ้นสุดลงในวันที่ 30 ก.ย.62 ไม่มีครั้งไหนเลยที่มีคำสั่งลักษณะนี้ออกมา ทำให้ผู้บริหารโรงเรียน และลูกจ้างชั่วคราวทุกคนตื่นตระหนก เสียกำลังใจ ไม่มีใจจะสอน จะบริการวิชาการหรือจะทำอะไรแล้ว พร้อมกับคำถามสำคัญคือรัฐบาลหมดงบประมาณจ้างครูและบุคลากรในโรงเรียนแล้วใช่หรือไม่

ต่อมานายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ ชี้แจงว่า ยอมรับในกระบวนการตรวจสอบของสภาผู้แทนราษฎร ตนเป็นส.ส.มาหลายครั้ง วันนี้เข้าสู่กระบวนการตรวจสอบของรัฐสภา ดีใจที่ประเทศไทยเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้ง และทุกพรรคการเมืองมีส่วนร่วมเข้าสู่กระบวนการประชาธิปไตย ข้อกล่าวหาของตนนั้น ส่งให้แม่ดูว่าถ้าเลวกันขนาดนี้ ก็ไม่ต้องเป็นแม่เป็นลูกกัน ถ้ากล่าวหาร้ายแรงแบบนี้ ก็ต้องเปิดโอกาสให้ตนอธิบายด้วย ช่วงปีครึ่งที่ผ่านมาตนไปโรงเรียนกว่า 50 จังหวัดไป โดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้า เพื่อจะได้ทราบปัญหา ไม่ได้ไปเฉพาะโรงเรียนใหญ่ เห็นปัญหาของการศึกษาไทย ว่ามีความซับซ้อน ฝังรากลึก แต่เราอย่าเพิ่งด้อยค่าการศึกษาไทย เพราะตนมีความหวังและมั่นใจว่าภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี เราสามารถขับเคลื่อนการกระทรวงศึกษาและการศึกษาไทยไปได้

นายณัฏฐพล กล่าวว่า ที่ผ่านมาทุกรัฐบาลพยายามแก้ไขปัญหาการศึกษา แต่เราไม่สามารถพลิกเปลี่ยนระบบการศึกษาของไทยได้ ยืนยันว่าตนรับทราบปัญหาดีไม่เคยหลบหรือหนีปัญหาของน้องๆ นักเรียน ตั้งคณะทำงานขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหาของการศึกษา ยกประเด็นปัญหาต่างๆ ที่เป็นข้อเรียกร้องของนักเรียนมารับฟัง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทรงผมและเครื่องแต่งกาย มีการเชิญกลุ่มนักเรียนเลวมาร่วมรับฟังด้วย

นายณัฏฐพล กล่าวอีกว่า สำหรับเรื่องกองทุนเพื่อความเสมอภาคนั้นถ้าท่านทำการเมืองหน่วยงานนี้มีบอร์ดอิสระขึ้นตรงต่อนายกฯไม่ใช่หน่วยงานภายใต้กำกับกระทรวงศึกษา ที่ผ่านมางบเพิ่มขึ้นทุกปี โดยหน่วยงานนี้สมควรได้รับงบประมาณ 2.5 หมื่นล้านบาทต่อปี เพราะว่ามีนักเรียนยากจนตนมั่นใจว่าการที่เด็กๆไม่ได้รับการดูแลนั้นจะได้รับการดูแลอย่างแน่นอน เพียงแต่ต้องใช้เวลา ภายในอีก 3-4 ปี หากเราร่วมกันทั้งสภาฯช่วยวางแผนทำให้การศึกษาเป็นวาระแห่งชาติ เราพลิกการศึกษาไทยได้แน่นอน

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

ว่าด้วยเรื่อง พัฒนา“พุทธมณฑล”

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img