“ก้าวไกล”ลั่นร่วมรัฐบาลต้องทำเอ็มโอยูก่อน ผลักดันนโยบายพรรคปฏิรูปกองทัพ-แก้รธน. ไม่สนต่อรองเก้าอี้รมต. ย้ำไม่สังฆกรรมพรรคทหารจำแลง “รสทช-พปชร.
เมื่อวันที่ 9 พ.ค.พิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีน.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ระบุถึงเงื่อนไขการเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย ว่า 1.ต้องเห็นด้วยนโยบายตรงกัน 2.นายกรัฐมนตรีมาจากเรา และ 3.รัฐมนตรีกระทรวงสำคัญๆต้องมาจากเรา ว่า ตนยังไม่เห็นในรายละเอียดเรื่องนี้ แต่เราคิดว่าในรัฐบาลหน้าสิ่งที่จะเป็นประโยชน์กับประชาชนได้มากที่สุดคือเราต้องเอาทหารออกจากการเมืองให้ได้ ไม่เอาพรรคทหารจำแลง ไม่เอาพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กลับเข้ามาอีก ส่วนจะร่วมมือกันอย่างไรนั้น เราไม่ได้เอาตำแหน่งทางการเมืองเป็นที่ตั้ง เราเอานโยบายเป็นตัวตั้ง นโยบายหลักที่เราหาเสียงไว้ อะไรจะขับเคลื่อนได้บ้าง ไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยมี ส.ส.ร. การปฏิรูปกองทัพ การปรับขึ้นค่าแรง สวัสดิการถ้วนหน้า ซึ่งมีรายะละเอียดที่หลากหลาย เราคงไม่ได้สนใจว่ากระทรวงอะไรสำคัญ แต่จะผลักดันนโยบายเหล่านี้อย่างไร
“ทั้งนี้การร่วมรัฐบาลจำเป็นต้องมีการทำข้อตกลงเอ็มโอยูว่าถ้าเราจะทำงานร่วมกัน อะไรที่จะเป็นรูปธรรม และภายในกรอบระยะเวลาอย่างไร วันนี้กระแสพรรคก้าวไกลสูงขึ้นเรื่อยๆ พรรคก้าวไกลอยู่กับความเป็นไปได้มาตลอดและ เราทำในสิ่งที่คนเชื่อว่าเป็นไปไม่ได้มาแล้วในหลายเรื่อง”รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าว
เมื่อถามว่าหากหลังการเลือกตั้งพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะแคนดิเดตนายกฯ พรรครวมไทยสร้างชาติ และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ถอนตัวออกจากการเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี จะสามารถจับมือร่วมรัฐบาลหากมี 2 พรรคนี้ร่วมด้วยได้หรือไม่ นายพิจารณ์ กล่าวว่า เวลาพูดถึงคำว่าพรรคทหารจำแลง เราไม่ได้หมายถึงแค่ตัวพล.อ.ประยุทธ์ แต่หมายถึงพรรคการเมืองที่เป็นนั่งร้านให้กับระบอบประยุทธ์ รวมถึง 250 ส.ว. และองค์กรอิสระต่างๆ ดังนั้นเราไม่ได้หมายความแค่เอาพล.อ.ประยุทธ์ หรือพล.อ.ประวิตร ออกไปเท่านั้น แต่หมายถึงการเอาระบอบประยุทธ์ที่สืบทอดอำนาจออกไปด้วย สุดท้ายต้องรอผลเลือกตั้งที่จะออกมา พรรคการเมืองใดได้เสียงมากที่สุด ต้องเป็นพรรคแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล และเราพร้อมให้การสนับสนับสนุน แต่ต้องอยู่บนเงื่อนไขเดิมคือต้องไม่มีพรรครวมไทยสร้างชาติและพรรคพลังประชารัฐ ร่วมอยู่ในนั้นด้วย
นายพิจารณ์ กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตามในความเห็นส่วนตัวคิดว่าจุดยืนทางการเมือง และนโยบายที่นำเสนอต่อพี่น้องประชาชน มันไม่ควรมีการเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา นำเสนอเพื่อแลกคะแนนเสียงและความนิยมทางการเมืองเท่านั้น ซึ่งจุดยืนและนโยบายควรผ่านการกลั่นกรองมาแล้ว ควรเป็นไปเพื่อประโยชน์และเพื่อให้ประเทศชาติเจริญรุ่งเรืองมากขึ้น แต่แคมเปญตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงวันจะกาบัตรเลือกตั้ง เราก็เห็นพรรคการเมืองที่มีจุดยืนไม่ชัดเจน รวมทั้งตอนอยู่ในอำนาจก็ดี หรือตอนยกมือโหวตในสภาก็ไม่เคยยกมือผลักดันนโยบายเหล่านั้น แต่พอใกล้เลือกตั้งกลับมาชูเป็นนโยบาย ซึ่งเป็นไปเพื่อแลกคะแนนความนิยมหรือคะแนนเสียงหรือไม่
“พรรคก้าวไกลยืนยันว่าอะไรที่เคยหาเสียง ตั้งแต่สมัยเป็นพรรคอนาคตใหม่ อะไรที่เคยยกมือในสภา ก็ยังคงพูดและทำเหมือนเดิม เราทำด้วยความเชื่อว่าสิ่งที่เรานำเสนอเป็นสิ่งที่ดีต่อประเทศชาติ และนำไปรณรงค์กับพี่น้องประชาชน ทำให้นโยบายทั้งหลาย ทั้งปฏิรูปกองทัพ สุราก้าวหน้า สมรสเท่าเทียม หลายพรรคเดินตามที่ก้าวไกลปักธงเอาไว้ ดังนั้นส่วนตัวคิดว่าถ้าพี่น้องประชาชนจะมั่นใจว่าสิ่งที่อยากเห็นสังคมที่อยากเห็น ต้องเลือกพรรคก้าวไกลให้มากที่สุด ให้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลทำให้ความฝันของพวกเราเป็นจริงให้ได้”นายพิจารณ์ กล่าว