วันศุกร์, พฤศจิกายน 29, 2024
spot_img
หน้าแรกHighlight‘เรืองไกร’บุก‘กกต.’เช็คบิล‘พิธา’ถือหุ้นสื่อ พ่วงบี้‘ป.ป.ช.’สอบแจ้งบัญชีทรัพย์สินเท็จ
- Advertisment -spot_imgspot_img

‘เรืองไกร’บุก‘กกต.’เช็คบิล‘พิธา’ถือหุ้นสื่อ พ่วงบี้‘ป.ป.ช.’สอบแจ้งบัญชีทรัพย์สินเท็จ

เรืองไกร” หอบหลักฐานยืน กกต. เช็คบิล “พิธา” ถือครองหุ้นสื่อ เผยการที่เจ้าตัวยอมรับจึงได้ไปยื่นให้ ป.ป.ช.สอบซุกหุ้น

เมื่อวันที่ 10 พ.ค. 66 ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ผู้สมัคร ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ยื่นคำร้องต่อ กกต.ขอให้ตรวจสอบว่า นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ผู้สมัคร ส.ส.และแคดดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคก้าวไกล มีลักษณะต้องห้ามในการลงสมัครรับเลือกตั้ง ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 98 (3) หรือไม่ เนื่องจากมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) 42,000 หุ้น โดยนายเรืองไกล กล่าวว่า ตนใช้เวลาตรวจสอบเรื่องนี้ 5 วัน เสียเงินไปหลายพันบาท เพื่อคัดเอกสารจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า 

หลังจากได้ข้อมูลมาจากบุคคล ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นของบริษัท ไอทีวี แล้วก็ได้พบหลักฐานตามเอกสาร บมจ.6 ที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้าส่งมา ว่า ณ วันที่ 27 เม.ย. 65 นายพิธา ยังคงเป็นผู้มีชื่อถือหุ้นจำนวนดังกล่าวอยู่ และบริษัทไอทีวี เป็นบริษัทที่ประกอบธุรกิจสื่อ อีกทั้งยังมีรายงานการประชุมล่าสุด ที่มีผู้ถือหุ้นถามผู้บริหารว่า บริษัทไอทีวี เป็นสื่อหรือไม่ ซึ่งผู้บริหารก็ได้ตอบว่าเป็นบริษัทสื่อฯ จึงจำเป็นต้องร้องให้ กกต.ตรวจสอบ ส่วนที่นายพิธาออกมาระบุว่า ได้ชี้แจงต่อ ป.ป.ช.นั้นก็ถือเป็นการยอมรับ แบบแบ่งรับแบ่งสู้  เป็นเรื่องที่ดี แม้จะระบุว่าหุ้นดังกล่าวไม่ใช้ของตนเอง เป็นกองมรดก ส่วนตัวเองเป็นผู้จัดการเท่านั้น แต่อยากให้ดูรัฐธรรมนูญมาตรา 98 (3) เขียนเพียงว่าผู้จะลงสมัคร  ส.ส.ต้องไม่เป็นผู้ถือครองหุ้นสื่อเท่านั้น 

นายเรืองไกร กล่าวว่า ส่วนที่นายพิธา อ้างว่าได้หารือและชี้แจงกับป.ป.ช.แล้วนั้น เป็นกฎหมายคนละฉบับกัน เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับคุณสมบัติการลงสมัครส.ส. สิ่งที่นายพิธาอ้าง น่าจะเป็นเรื่องการถือครองหุ้นและแจ้งบัญชีทรัพย์สิน โดยตนได้ไปตรวจสอบการแจ้งบัญชีทรัพย์สินของนายพิธาระหว่างดำรงตำแหน่งส.ส. ก็ไม่พบว่ามีการแจ้งหุ้นดังกล่าวต่อป.ป.ช. ดังนั้น ช่วงเช้าที่ผ่านมา จึงได้ไปยื่นคำร้องต่อป.ป.ช.ให้ตรวจสอบว่า นายพิธาแจ้งบัญชีทรัพย์สินเป็นเท็จหรือไม่    

“เรื่องนี้อยากให้ กกต.ดำเนินการโดยเร็ว เพราะผลที่ออกมาก่อนและหลังเลือกตั้งจะแตกต่างกัน ถ้าทำเสร็จหลังการเลือกตั้งต้องยื่นศาลรัฐธรรมนูญ ก็จะเหมือนกับนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ศาลวินิจฉัยว่าขาดคุณสมบัติเนื่องจากถือหุ้นวีลัค มีเดีย จะทำให้ความเป็น ส.ส.สิ้นสุดลงเฉพาะตัว ไม่มีผลถึงเรื่องยุบพรรค” นายเรืองไกร กล่าวและว่า เรื่องนี้จะเป็นความผิดเฉพาะตัวแต่ถ้าศาลตัดสินเรื่องใหญ่มาก ซึ่งตนมีข้อกฎหมายอีกส่วนหนึ่ง แต่ขอรอให้ศาลตัดสินก่อน แต่บอกได้ว่าจะมีผลกระทบมหาศาล   

เมื่อถามว่า ที่มีคนมองว่ามียื่นเรื่องนี้เพื่อสกัดนายพิธา หรือไม่ นายเรืองไกร กล่าวว่านายพิธาก็โพสต์แล้วเมื่อวันที่ 9 พ.ค. ก็แล้วแต่ใครจะมอง  แต่ตนพบเหตุ ก็มาร้อง ส่วนอีกด้านหนึ่งจะได้ประโยชน์หรือไม่ ตนไม่เกี่ยว และไม่กังวลว่าเพื่อไทยจะได้ประโยชน์จากเรื่องนี้  

เมื่อถามว่า ถ้าหากนายพิธาขาดคุณสมบัติจากกรณีดังกล่าว จะมีผลอย่างไร เพราะได้ถือหุ้นนี้มาก่อนการเลือกตั้งปี 62 นายเรืองไกร กล่าวว่า ก็จะเหมือนกันกรณีนายสิระ เจนจาคะ ที่จะต้องเลือกคืนสิทธิประโยชน์ต่างๆ ซึ่งอยากให้ กกต.มีหนังสือสอบถามไปยังตลาดหลักทรัพย์ฯ เพราะกรณีนี้เป็นลักษณะต้องห้ามเฉพาะของผู้สมัครส.ส. ไม่ได้เกี่ยวกับคู่สมรส ส่วนที่ก่อนหน้านี้ กกต.ตรวจสอบไม่พบชื่อนายพิธา ตนไม่ทราบ 

วันเดียวกันนี้ นายเรืองไกรยังได้ยื่นคำร้องขอให้ กกต.ตรวจสอบนายสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี และนายณัฐวุฒิ ใสเกื้อ กระทำการเข้าข่ายฐานเป็นผู้ใด กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้แก่ตนเองหรือผู้สมัครอื่นหรือบัญชีรายชื่อของพรรคเพื่อไทยหรือไม่ และการกระทำนั้นมีผลให้บัตรออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้ง ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ในหน่วยเลือกตั้งต่างๆ เป็นบัตรเสียหรือไม่ และ กกต.จะสามารถสั่งมิให้นับเป็นคะแนนในการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทยได้หรือไม่ และทำให้การเลือกตั้ง ส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรคเพื่อไทยมีเหตุอันควรสงสัยว่ามิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรมหรือไม่ การกระทำดังกล่าวเข้าจ่ายหลอกลวงเพื่อให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยมของผู้สมัคร หรือพรรคการเมืองหรือไม่ 

นายเรืองไกร กล่าวว่า ได้ตรวจสอบการโพสต์เฟสบุ๊คของผู้สมัครพรรคเพื่อไทย ทั้งนายเศษฐา ทวีสิน น.ส.แพทองธาร ชินวัตร และนายชัยเกษม นิติศิริ ซึ่งทั้ง 3 คน เป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเพื่อไทย พบว่ามีการขึ้นรูปโปรไฟล์ของตนเองพร้อมหมายเลขพรรค ถือเป็นเรื่องปกติ ตนไม่ได้ติดใจ แต่กรณีของนายสุรพงษ์และนายณัฐวุฒิกลับมีการขึ้นรูปในลักษณะเดียวกันกับบุคคลทั้ง 3 ทั้งที่ไม่ได้เป็น 100  รายชื่อผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรคและไม่ได้เป็นผู้ถูกเสนอชื่อเป็นนายกฯ จึงมองว่ามีเจตนาทำให้คนเข้าใจผิดในคะแนนนิยมของพรรค เข่าข่ายขัด พ.ร.ป.เลือกตั้งส.ส. พ.ศ.2561 มาตรา 73 (5) ประกอบมาตรา 56 และ 132 และ 137 หรือไม่.

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img