วันศุกร์, พฤศจิกายน 22, 2024
spot_img
หน้าแรกNEWS"ธีรัจชัย"กางม.112 เป็นเครื่องมือจัดการคนเห็นต่าง มั่นใจเป็นผลดีต่อสถาบัน
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

“ธีรัจชัย”กางม.112 เป็นเครื่องมือจัดการคนเห็นต่าง มั่นใจเป็นผลดีต่อสถาบัน

ธีรัจชัย” กางเหตุแก้ ม.112 ฟาดยุครัฐประหารตั้งธงจัดการคนเห็นต่าง เพิ่มโทษ 7 เป็น 3-15 ปียันต้องการให้สถาบันฯอยู่เหนือการเมือง ไม่ให้ใครก็ได้ดึงสถาบันฯปะทะกับประชาชน มั่นใจดีต่อสถาบันมั่นคงต่อไป

วันที่ 19 พ.ค. 66 นายธีรัจชัย พันธุมาศ ว่าที่ ส.ส.กมม.และคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคก้าวไกล กล่าวถึงแนวทางการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่มีสมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.) หลายคนอ้างเหตุผลจะไม่โหวตสนับสนุนนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เพราะมีนโยบายแก้มาตรา 112 ว่า แนวทางเรื่องการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 คือ สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ รศ.118 รัชกาลที่ 5 ตอนนั้น มาตรา 112 มีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี แต่หลังรัฐประหารปี 2519 ฝ่ายรัฐประหารต้องการจัดการกับฝ่ายตรงข้าม เลยอาศัยเงื่อนไขตรงนี้ มาเพิ่มโทษมาตรา 112 เป็น 3-15 ปี และใช้เป็นเครื่องมือโดยให้ใครก็ได้มาแจ้งความ แล้วใช้เป็นเครื่องมือขจัดฝ่ายตรงข้ามด้วยการดำเนินคดีให้หยุด โดยอาศัย 112

กรณีแบบนี้เราเห็นว่า เราต้องการให้สถาบันฯ อยู่นอกเหนือการเมือง อยู่ใต้รัฐธรรมนูญตามหลักสากล ประเทศอังกฤษ ญี่ปุ่น โดยหลักก็คือ ไม่ให้ใครก็ได้ ดึงสถาบันฯ มาปะทะกับประชาชนที่มีความเห็นต่างเพราะหากปล่อยให้ใครก็ได้ไปแจ้งความ ผู้มีอำนาจก็อาจใช้คนอื่นไปแจ้งความ แล้วสถาบันฯ ก็ต้องมาปะทะกับคนที่เห็นต่าง ถามว่าจะทำให้สถาบันฯ อยู่มั่นคงถาวร หรือว่าจะปล่อยให้มาปะทะแบบนี้

“เราต้องการให้สถาบันฯ อยู่เหนือการเมือง แต่อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ และไม่ต้องการให้ใครก็ได้มาแจ้งความ โดยการแก้ไขดังกล่าวก็จะเสนอให้การแจ้งความ ต้องให้สำนักราชเลขาธิการเป็นผู้กลั่นกรอง ไม่ใช่ให้ใครก็ได้จะไปดึงสถาบันฯมาปะทะ กับคนที่เห็นต่าง ซึ่งมองว่าไม่เป็นผลดีกับสถาบันฯ โดยรวมส่วนของบทลงโทษ ต้องมีการคุ้มครองประมุขของรัฐ คือพระมหากษัตริย์ และปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชน สองหลักนี้ต้องเหมือนกัน การคุ้มครองก็คือว่าประมุขของรัฐ หากมีใครมาหมิ่นประมาท ดูหมิ่น ต้องมีโทษที่สูงกว่าคนธรรมดา และบทลงโทษต้องไม่มีโทษขั้นต่ำ โดยเปิดโอกาสให้ศาลสามารถใช้ดุลยพินิจได้ และแก้ไขโดยย้ายมาตรา 112 ออกจากหมวดเดิม ซึ่งอยู่ในหมวดความมั่นคง ก็แก้ไขโดยให้ย้ายมาอยู่ในหมวดสิทธิเสรีภาพ โดยหมวดความมั่นคงนั้น เป็นคดีที่ยอมความไม่ได้ ทำให้พอมีการแจ้งความแล้ว จะยอมความไม่ได้ มันทำให้เกิดความตึงเครียด ระหว่างสถาบันฯ กับประชาชน โดยที่คนอื่นมาแจ้งความ ไม่ใช่สถาบันฯ ไปทำเองและไม่ได้มีการกลั่นกรองอะไร เราเลยเสนอให้ย้ายหมวดมาอยู่ในหมวดสิทธิเสรีภาพ และหากคดีใดไม่ใช่คดีที่ร้ายแรงอะไร สถาบันฯ ก็อาจให้มีการยอมความกัน ที่จะทำให้สถาบันฯ ไม่ต้องปะทะกับคนที่เห็นต่าง”นายธีรชัย กล่าว

นายธีรัจชัย กล่าวต่อว่า แนวทางดังกล่าว จะทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์มั่นคงสถาพร อยู่คู่แผ่นดินไทยได้นาน ที่จะเป็นการส่งเสริม แต่อีกฝ่ายกลับมาบอกว่าแตะสถาบันไม่ได้เลย ถ้าแตะคือต้องการจะดึงลงมา ถามว่าอันไหนทำลายมากกว่า ตนเชื่อว่าอันหลังทำลายมากกว่า เพราะเป็นความคิดแบบเดิมๆ แบบเก่าๆ และต้องการใช้ประโยชน์เพื่อทำลายฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น แต่หากทำแบบก้าวไกลที่เสนอ เราอาจมาเริ่มด้วยการจัดวางพระราชอำนาจแบบประณีตมาใช้เวทีรัฐสภาในการที่จะมาหาทางออกร่วมกันว่า เราอยากจัดวางพระราชอำนาจแบบไหนที่ทำให้สถาบันฯ อยู่เหนือการเมือง ก็คือไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกับการเมือง การบริหารอะไร เป็นประมุขของประเทศ แล้วมาจัดวางกันอย่างประณีต
“ผมเชื่อว่าเป็นวิธีนี้เท่านั้นในโลกสมัยใหม่ ที่่มีการสื่อสารสูง และมีการเปลี่ยนแปลงทางความคิดสูง จะทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ของเรา อยู่มั่นคงสถาพร คู่แผ่นดินนี้มากกว่า เราใช้เวทีคุยแบบมีวุฒิภาวะในสภาฯ ผมเชื่อว่าจะเป็นทางออกที่ดี และช่วยกันถกเถียงในแง่มุมต่างๆ ไม่ใช่มาโจมตีอะไรกัน หรือมาบอกว่า 112 แก้ไม่ได้”นายธีรัจชัยกล่าว

เมื่อถามว่า สภาฯ สมัยที่แล้ว ส.ส.ก้าวไกลเคยร่วมกันลงชื่อ เสนอร่างแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 แต่ฝ่ายกฎหมายของสภาฯ มีความเห็นว่าเสนอไม่ได้ เพราะขัดรัฐธรรมนูญ จนประธานสภาฯ ไม่บรรจุร่างดังกล่าวเข้าสู่ระเบียบวาระการประชุม แล้วเปิดสภาฯ มา จะไปเสนอแก้มาตรา 112 ในสภาฯได้อีกหรือ จะมีวิธีการอย่างไร นายธีรัจชัยกล่าวว่า คงต้องมาหารือกันในพรรคก้าวไกลว่าจะทำอย่างไร หลังจากเคยมีตรงนี้มาแล้ว ต้องมาหารือกันว่าจะมีวิธีการเช่นจะปรับเนื้อหาหรือว่าจะยังคงเดิม เพื่อให้มันเดินไปได้ ก็ต้องมานั่งคุยกันอีกที แต่ว่าพรรคก้าวไกลก็มีตัวร่างที่จะเสนอแก้ไข 112 ไว้แล้ว เนื้อหาก็อย่างที่บอกข้างต้น ที่ตนว่าเป็นประโยชน์และทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ อยู่มั่นคงสถาพร คู่แผ่นดินไทยแน่นอน

นายธีรัจชัย ย้ำอีกว่า สิ่งที่พรรคก้าวไกลประกาศไว้ เราต้องเอามาทำ แต่ว่ามันจะถูกขวางอย่างไร ก็ต้องมาว่ากันอีกทีหนึ่ง แต่สิ่งที่พรรคประกาศไว้อย่างไร ต้องเป็นแบบนั้น และอยู่ที่ว่าการตั้งรัฐบาลจะมีการต่อรองกันอย่างไรบ้าง อันนั้นคือด่านแรก แต่เจตจำนงของเรา คือต้องทำตามนโยบายทุกอย่างที่เราได้ทำสัญญาประชาคมไว้

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img