“ส.ว.” ยินดีหนุนตั้งรัฐบาล ตะแบงแค่ 14.4 ล้านเสียงต้องชั่งพรรคอื่นรวม 27 ล้านเสียง ยันถึงเวลาส.ว.ต้องตัดสินใจใช้เอกสิทธิ์โหวต ชี้ยังไม่รู้เสนอใครเป็นนายกฯ แต่ “พิธา” แนะนำตัวเอง
เมื่อวันที่ 29 พ.ค.66 ที่รัฐสภา นายสมชาย เสียงหลาย สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) กล่าวถึงการจัดตั้งรัฐบาลของพรรคก้าวไกล ขณะที่ยังมีข้อขัดแย้งกันว่า โดยหลักแล้ว ตนคิดว่าในการดำเนินการเรื่องการเมือง เราถือธงตามรัฐธรรมนูญที่ใช้อยู่ในวันที่เราดำรงตำแหน่ง ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร หรือฝ่ายตุลาการก็ตาม ดังนั้นหลังผ่านการเลือกตั้งตัวเลขของส.ส. เป็นส่วนหนึ่งแต่ต้องไม่ลืมเรื่องหลักเกณฑ์จะต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ ฝ่ายที่ศึกษาการเมือง ซึ่งไม่ได้มองว่าเป็น ส.ว. หรือส.ส.ทุกคนปรารถนา อยากเห็นการเมืองดำเนินการไปด้วยความคืบหน้าและเป็นประโยชน์ต่อประชาชน
“ผมมองว่าจนถึงวันนี้ ยังเป็นกระบวนการในการรับรองของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ดังนั้นกระบวนการที่จะนำไปสู่การตั้งรัฐบาล ฝ่ายส.ส.ที่รวมเสียงกันได้มาก จะดำเนินการเพื่อจัดตั้งรัฐบาลอย่างไร เราก็จะดูท่าทีของเขาเป็นไปโดยชอบตามกฎหมายหรือไม่ ถ้าเป็นไปโดยชอบก็ต้องพิจารณาในเนื้อหาของบทบัญญัติที่มีอยู่ ว่าในขั้นตอนควรดำเนินการต่อไปอย่างไร ในส่วนของส.ว.ก็ต้องศึกษาขั้นตอนเหล่านี้ไว้ ในส่วนที่เห็นแตกต่างเป็นความคิดเห็นของแต่ละคนที่มีแตกต่างกันออกไป”นายสมชาย กล่าว
นายสมชาย กล่าวว่า วันนี้เราสนับสนุนให้เกิดการจัดตั้งรัฐบาลที่ถูกต้องและเป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมาย และคิดว่าจะต้องดูเรื่องอื่นๆ ประกอบด้วย ทั้งคุณสมบัติ และเรื่องต่างๆ ก็ว่าไปตามหลักเกณฑ์ รวมถึงเรื่องที่ต้องตรวจสอบความชอบหรือไม่ชอบของบุคคลที่จะเสนอชื่อดำรงตำแหน่ง เป็นอีกประเด็นที่ต้องนำมาประกอบควบคู่กันไป ดังนั้นในส่วนของส.ว. ตนพูดแทนทุกคนไม่ได้ แต่ภาพรวมในความเห็นของส่วนตัวคิดว่า อยากให้ดำเนินการไปในทางที่เหมาะสมภายใต้บทบัญญัติที่กฎหมายให้อำนาจแต่ละฝ่ายไว้ และเมื่อมีข้อมูลเพียงพอใจในวันที่ตัดสินใจ คิดว่าส.ว.ก็ต้องตัดสินใจ ไม่มีใครไม่ตัดสินใจ ส่วนจะตัดสินใจอย่างไรแต่ละคนต้องพิจารณาด้วยความเคารพ เพราะเป็นเอกสิทธิของแต่ละคนที่อาจมีเหตุผลใดๆ ก็ได้ เป็นการใช้สิทธิตามหลักสิทธิเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญกำหนดไม่ใช่เรื่องขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญ
นายสมชาย กล่าวด้วยว่า ตนพยายามดูว่าแทนที่จะสร้างบรรยากาศที่จะทำให้เกิดการแตกแยกระหว่างฝ่าย ซึ่งความเห็นอาจเห็นแตกต่างกัน ไม่ควรดำเนินการลักษณะนั้น ถ้าทุกคนยึดถือประโยชน์ของประเทศชาติเป็นที่ตั้ง เราจะต้องหาทางทำให้ผลประโยชน์ของประชาชนโดยรวมได้รับการรับรอง และต้องยอมรับความจริงว่า จำนวนของคะแนนเสียง ไม่สามารถตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้ คะแนนเลือกตั้งเป็นการฟ้องให้เห็นโดยชัดเจน ดังนั้นเมื่อเป็นเช่นนั้น ต้องเคารพประเด็นที่แต่ละพรรคการเมืองนำเสนอต่อสาธารณะ ว่ามีเรื่องใดที่ต้องเห็นเป็นข้างมาก สมมติพรรคที่ชนะการเลือกตั้ง ได้คะแนนเสียง 14.4 ล้านเสียง กับอีกประเด็นหนึ่งที่มีประเด็นล่อแหลม พรรคอื่นๆ อาจจะได้คะแนนรวมกัน 27 ล้านเสียง ดังนั้นต้องนำ 2 อย่างมาชั่ง แนวทางนี้ไปปรากฎใน MOU ที่แต่ละพรรคการเมืองเห็นร่วมกัน แสดงให้เห็นถึงแนวทางประชาธิปไตย ดังนั้นในขั้นตอนต่อไป ต้องขั้นตอนตามรัฐธรรมนูญ
เมื่อถามถึงความขัดแย้งในตำแหน่งประธานสภาฯ นายสมชาย กล่าวว่า ยังไม่ได้พิจารณาจนกว่าจะเห็นข้อเสนอที่เป็นธรรม ถ้ามีรูปธรรม ต้องตัดสินใจและขอให้รอดูว่าวันตัดสินใจไม่มีใครไม่กล้าตัดสินใจ ส่วนเรื่องของการโหวตนายกฯ ส.ว. ไม่ได้พูดคุยกัน เนื่องจากเป็นเอกสิทธิ์ที่ทุกคนที่ต้องดูภาพวันจริงว่าใครเป็นแคนดิเดต ให้เลือกเป็นนายกฯ เพราะตอนนี้ยังไม่รู้ เป็นเรื่องของจินตนาการ ที่เกิดขึ้นจากการนำเสนอ
เมื่อถามว่า คนที่ประกาศตัว อย่างนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ยังไม่ใช่ตัวจริงใช่หรือไม่ นายสมชาย กล่าวว่า “เป็นแค่ข้อเสนอของคุณพิธา ที่ identify ตัวเองว่าได้คะแนนเสียงเป็นอันดับหนึ่ง แต่ข้อเท็จจริง ซึ่งเหมือนกับเมื่อวานที่เอฟซีพรรคเพื่อไทย ยื่นข้อเสนอให้พรรคเพื่อไทยถอนตัวจากการร่วมรัฐบาลกับพรรคก้าวไกล ดังนั้นไม่รู้ข้อสรุปว่าข้อเท็จจริงจะออกมาในรูปแบบไหน”