“วิษณุ”ชี้ระเบียบราชทัณฑ์กำหนดปฏิบัติต่อผู้กักกัน ไม่ได้เอื้อ’ทักษิณ’ ระบุถ้าศาลสั่งจำคุก ใช้การกักกันไม่ได้ ย้ำก.ม.นี้ทำนานแล้ว แต่เพิ่งคลอด
เมื่อวันที่ 8 เม.ย.66 ที่โรงแรมโนโวเทล กรุงเทพ แพลทินัม ประตูน้ำ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลและรักษาการ รมว.ยุติธรรม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ระเบียบกรมราชทัณฑ์ว่าด้วยการปฏิบัติต่อผู้ถูกกักกัน พ.ศ.2566 ซึ่งถูกตั้งข้อสังเกตว่าเอื้อให้กับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หรือไม่ ว่า การกักกันไม่ใช่โทษตามกฎหมายไทย เพราะโทษตามกฎหมายไทยมีอยู่ 5 อย่าง คือ ประหารชีวิต จำคุก กักขัง ปรับ และริบทรัพย์สิน ซึ่งกักกันไม่ได้อยู่ใน 5 อย่างดังกล่าว แต่เป็นสิ่งที่เรียกว่าวิธีการเพื่อความปลอดภัย ดังนั้น ปัญหาคือการกักกันจะกักกันที่ไหน อย่างไร กรมราชทัณฑ์จึงต้องออกระเบียบว่าถ้าคนที่จะต้องถูกกักกันจะต้องถูกกักกันที่ไหน อาทิ บ้าน หรือที่ไหนอย่างไรก็ได้ ซึ่งเป็นคนละอย่างกับเรื่องโทษ หากศาลสั่งจำคุก จะไปเปลี่ยนเป็นกักกันไม่ได้ สมมติว่าเด็กและเยาวชนทำผิด ศาลบอกให้กักกัน ก็ส่งไปอยู่กับบ้านกับผู้ปกครองได้
“แต่คนบางส่วนเข้าใจว่าการกักกันสามารถรวมกับโทษได้แล้วไปคิดถึงกรณีนักโทษกลับมาเข้ามามอบตัว และไปกักกันที่บ้าน อย่างนั้นก็ไม่ใช่ จะใช้ในเรื่องนี้ไม่ได้ เพราะคุณต้องโดนโทษไม่ได้โดนกักกัน”นายวิษณุ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า การที่ระเบียบดังกล่าวออกมาในช่วงเวลานี้ทำให้หลายคนวิเคราะห์กันไป นายวิษณุ กล่าวว่า มีอะไรหลายอย่างที่ควรจะออกมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่ติดขัดอยู่ จึงเพิ่งจะออกมาได้ อย่างเช่น กรณีที่มีการไปลงข่าวกันเรื่องคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติว่ามีอำนาจใหญ่โต สามารถปลดนายกรัฐมนตรีได้ โดยมีตน พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ร่วมเป็นกรรมการ มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เป็นประธาน ทั้งที่คณะกรรมการชุดนี้ตั้งมานานแล้ว แต่เพิ่งออกมา และไม่ได้มีอำนาจไปปลดใครอย่างที่เป็นข่าวหรือวิพากษ์วิจารณ์กัน และข้อสำคัญนายกฯเป็นประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ
เมื่อถามว่า ขณะนี้ระเบียบกรมราชทัณฑ์ว่าด้วยการปฏิบัติต่อผู้ถูกกักกัน พ.ศ.2566 ถูกนำไปโยงเรื่องการกลับมาประเทศไทยของนายทักษิณ นายวิษณุ กล่าวว่า “คงไม่โยง เพราะผมให้สัมภาษณ์ไปก่อนหน้านี้นานแล้วว่านโยบายของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน อดีต รมว.ยุติธรรม ที่บอกว่าหากมีโทษและให้ไปรับโทษ โดยไปกักตัวไว้ที่บ้านได้นั้นมันยังไม่ออกมา ขณะนี้ที่ออกมาแล้วคือกฎกระทรวงปี 2552 สมัยนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เป็น รมว.ยุติธรรม ซึ่งออกมาว่าสำหรับคนที่จะต้องถูกขัง 3 ประเภท ให้เปลี่ยนเป็นไปขังที่บ้านได้คือ 1.คนที่อยู่ระหว่างการสอบสวน เช่น แบม ตะวัน 2.คนที่ศาลสั่งให้ลงโทษจำคุก และรับโทษจำคุกมาแล้ว 1 ใน 3 และ 3.หญิงมีครรภ์ที่ถูกศาลสั่งประหารชีวิต แต่ยังไม่คลอด บุคคลเหล่านี้จะต้องนำไปขังไว้ก่อน เช่น ที่บ้านหรือที่โรงพยาบาล มีแค่ 3 ข้อนี้เท่านั้น ไม่มีข้อที่ 4 ซึ่งระเบียบดังกล่าวเป็นคนละเรื่องกัน และควรออกมาตั้งแต่ 2-3 เดือนที่แล้ว แต่เพิ่งตรวจกันเสร็จ เพิ่งออกมาตอนนี้”
เมื่อถามว่า กรณีนักโทษทางการเมือง มีความเป็นไปได้ที่จะขอพระราชทานอภัยโทษหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า จะเป็นนักโทษทางการเมืองหรือไม่ใช่ก็ตาม ต้องใช้หลักเกณฑ์เดียวกันทั้งหมด คือ 1.ขอเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ปัญหาคือ เมื่อขอไปแล้ว ถ้าหากถูกยก ถ้าจะขออีก ต้องใช้เวลาประมาณ 2 ปี อันนี้หมายถึงการขอพระราชทานอภัยโทษเป็นการส่วนตัว แต่ถ้าเป็นการขอพระราชทานอภัยโทษแบบครอบจักรวาล คือการออกมาพระราชกฤษฎีกามาเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ ใครอยู่ในเกณฑ์เหล่านั้นให้ว่ากันไป แต่ในขณะนี้ยังไม่มีพระราชกฤษฎีกานั้น แต่อาจจะมีในปีหน้า ในพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ หรือ 72 พรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เมื่อถามว่า แม้จะไม่ได้มารับโทษ ก็อยู่ในเกณฑ์ที่จะขอพระราชทานอภัยโทษหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ถึงอย่างไรก็ต้องรับโทษก่อน จึงจะขอพระราชทานอภัยโทษได้ ส่วนการขอพระราชทานอภัยโทษจะต้องใช้เวลาเท่าไหร่นั้น ก็แล้วแต่กระบวนการ
ต่อข้อถามว่า การจะขอพระราชทานอภัยโทษจะต้องรับโทษไปแล้วกี่ปี นายวิษณุ กล่าวว่า ไม่มี เพราะการขอพระราชทานอภัยโทษ เป็นพระมหากรุณาธิคุณ เป็นพระราชอำนาจ ไม่มีกำหนดในเรื่องดังกล่าว แต่ถ้าการอภัยโทษตามพระราชกฤษฎีกาซึ่งออกมาสำหรับคราวหนึ่งเพื่อคน 30,000 คน ก็มีเกณฑ์ของเขาอยู่ว่าจะต้องรับโทษมาแล้ว 1 ใน 3 หรือจำคุกมาแล้วไม่น้อยกว่า 8 ปี โดยขณะนี้กฎหมายนี้ยังไม่มี แต่มีไปคราวล่าสุดที่ปล่อยออกมาจากคุกไปแล้ว 30,000 คน