“ชัยธวัช” แฉขบวนการปลุกผีคืนชีพ ITV ยก 2 ข้อพิรุธปมทำธุรกิจสื่อ-เอกสารงบการเงินย้อนหลังส่งถึงกรมพัฒนาธุรกิจการค้า สวนทางคลิปประชุมผู้ถือหุ้นปี 66 เชื่อคดี ม.151 ของ “พิธา” อสส.สั่งไม่ฟ้องแบบเดียวกับ “ธนาธร”
เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. ที่พรรคก้าวไกล นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล แถลงถึงข้อเท็จจริงคดีกล่าวหานายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ในการถือครองหุ้นบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น ITV ภายหลังคลิปรายการการประชุมผู้ถือหุ้น ITV ปี 2566 สวนทางกับรายงานการประชุมผู้ถือหุ้น ITV ปี 2566 เรื่องการทำธุรกิจสื่อว่า สืบเนื่องจากการรายงานข่าวของรายการข่าวสามมิติ วานนี้ มีข้อมูลที่มีนัยสำคัญมาก ๆ อย่างน้อย 2 ประการ ดังนี้ประการแรก ความขัดแย้งระหว่างคลิปการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2566 ของ ITV เมื่อวันที่ 26 เม.ย. 2566 กับรายงานการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2566 ในประเด็นที่ว่า ITV ยังดำเนินกิจการเกี่ยวกับสื่อหรือไม่ ถ้าเราดูคลิปการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2566 ของ ITV เมื่อวันที่ 26 เม.ย.ที่ผ่านมา เกิดขึ้นหลังการรับสมัครรับเลือกตั้ง 2566 จะปรากฎข้อเท็จจริงว่า นายภาณุวัฒน์ ขวัญยืน ในฐานะผู้ถือหุ้น ได้ถามในที่ประชุมว่า บริษัทฯมีการดำเนินกิจการเกี่ยวกับสื่อ หรือทีวี หรือไม่ จากนั้นนายคิมห์ สิริทวีชัย ประธานคณะกรรมการบริษัทฯ ในฐานะประธานที่ประชุม ได้ตอบอย่างชัดเจนว่า ตอนนี้บริษัทยังไม่มีการดำเนินการใด ๆ รอผลคดีความให้สิ้นสุดก่อน
นายชัยธวัช กล่าวว่า อย่างไรก็ตามในเอกสารการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2566 ของ ITV กลับบันทึกไม่ตรงกับคลิปการประชุมอย่างสิ้นเชิง กลับบันทึกว่า นายคิมห์ ได้ตอบคำถามของนายภาณุวัฒน์ว่า ปัจจุบันบริษัทยังดำเนินกิจการอยู่ตามวัตถุประสงค์ของบริษัท และมีการส่งงบการเงิน และยื่นแบบภาษีเงินได้นิติบุคคลตามปกติ หลังจากมีการจัดทำรายงานการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นของ ITV ดังกล่าวออกมา นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ก็ได้นำเอกสารนี้ ไปใช้เป็นหลักฐานสำคัญในการยื่นร้องต่อ กกต.ให้ตรวจสอบการถือหุ้น ITV ของนายพิธา เมื่อวันที่ 10 พ.ค. 2566 ทั้งนี้ก่อนที่นายเรืองไกร จะไปยื่นร้องต่อ กกต.นั้น นายนิกม์ แสงสิรินาวิน ผู้สมัคร ส.ส.กทม. พรรคภูมิใจไทย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ก่อนการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นของ ITV 2 วันว่า นักการเมืองที่ถือหุ้น ITV เตรียมประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี และมอบตัว กกต.ด้วย หัวหน้าพรรคหนึ่งถือ 42,000 หุ้น
นายชัยธวัช กล่าวต่อว่า โพสต์ดังกล่าวทำให้เป็นที่น่าสงสัยว่า มีการวางแผนจะให้นายภาณุวัฒน์ ผู้ถือหุ้นที่ได้รับการโอนหุ้นจากนายนิกม์ และเป็นผู้จัดการคลินิกครอบครัวของนายนิกม์ ไปตั้งคำถามในที่ประชุมผู้ถือหุ้น ITV เพื่อตองการให้ผู้บริหารตอบว่า ITV ยังดำเนินกิจการสื่อมวลชนอยู่ใช่หรือไม่ แต่เมื่อนายคิมห์ ตอบว่า ตอนนี้ ITV ยังไม่มีการดำเนินกิจการสื่อ ภายหลังกลับมีการบันทึกการประชุมให้เข้าใจได้ว่า ปัจจุบัน ITV ยังดำเนินกิจการสื่ออยู่ พฤติกรรมเช่นนี้ เข้าข่ายการทำรายงานการประชุมผู้ถือหุ้นเท็จหรือไม่ หากเป็นเช่นนั้นจริง จะผิดตามกฎหมายหลายฉบับ
“เรื่องนี้เป็นประเด็นสำคัญที่ผู้มีอำนาจในบริษัท ITV รวมถึงนายจิตชาย มุสิกบุตร กรรมการบริษัท ในฐานะกรรมการผู้สอบทาน และแก้ไขรายงานการประชุม ต้องตอบสังคมให้ชัดเจน ทั้งนี้เป็นที่น่าสังเกตว่า นายจิตชาย ยังเป็นผู้บริหารสายงานกฎหมาย และเลขานุการบริษัทของ บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH ที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ ITV ทำให้มีคำถามว่า บมจ.อินทัช รับรู้หรือเกี่ยวข้องกับการแก้ไขรายงานให้ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงในการประชุมหรือไม่” นายชัยธวัช กล่าว
นายชัยธชัย กล่าวต่อว่า ประเด็นที่กล่าวมาทั้งหมด เป็นแค่หนึ่งในข้อพิรุธที่นายพิธาได้เคยตั้งคำถามไว้ว่า นี่คือความพยายามฟื้นคืนชีพ ITV ให้กลับมาเป็นสื่อมวลชน เพื่อสกัดกั้นการตั้งรัฐบาลตามฉันทานุมัติประชาชนผ่านการเลือกตั้งหรือไม่ พฤติกรรมเช่นนี้อาจเข้าข่ายกระทำการอันเป็นเท็จ เพื่อจะแกล้งให้ผู้สมัคร ส.ส.ถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง มีความผิดตาม มาตรา 143 ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.อีกด้วย
เลขาธิการพรรคก้าวไกล กล่าวว่า ข้อมูลที่มีนัยสำคัญประการที่ 2 คือความขัดแย้งระหว่างคลิปการประชุม กับแบบนำส่งงบการเงิน (สบช.3) ที่ ITV ยื่นต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เมื่อวันที่ 10 พ.ค. 2566 รวมถึงเอกสารงบการเงินไตรมาสแรกของปี 2566 ของ ITV ด้วย ข้อพิรุธประการนี้ หากพิจารณาใจความสำคัญของข้อความที่ถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไข ในบันทึกการประชุมผู้ถือหุ้นของ ITV คือ แก้ไขคำตอบของนายคิมห์ ประธานในที่ประชุมต่อนายภาณุวัฒน์ จากบริษัทยังไม่มีการดำเนินการใด ๆ รอผลคดีความให้สิ้นสุดก่อน กลายเป็นบริษัทยังดำเนินกิจการอยู่ตามวัตถุประสงค์ของบริษัท และมีการส่งงบการเงิน และยื่นแบบภาษีเงินได้นิติบุคคลตามปกตินั้น ข้อความที่ถูกเพิ่มเติมมา ไม่ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมแต่อย่างใด ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า เรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องกับแบบนำส่งงบการเงิน สบช.3 ที่ ITV ได้ยื่นต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้าในวันที่ 10 พ.ค. ก่อนวันเลือกตั้งพียง 4 วัน และเป็นวันเดียวกันกับที่นายเรืองไกร ไปยื่นร้องต่อ กกต.หรือไม่
นายชัยธวัช กล่าวอีกว่า เพราะเมื่อพิจารณาแบบนำส่งงบการเงินดังกล่าวแล้ว เป็นงบการเงินรอบปีบัญชีสิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธ.ค. 2565 จะพบว่า มีการระบุประเภทธุรกิจสื่อ ว่าเป็นสื่อโทรทัศน์ และระบุสินค้าหรือบริการว่า สื่อโฆษณาและผลตอบแทนจากการลงทุน ข้อความที่เปลี่ยนไปนี้ในงบการเงิน จากเดิมเอกสารงบการเงินของ ITV ในปีบัญชี 2561-2562 เคยระบุประเภทธุรกิจไว้ว่า กิจกรรมของบริษัทโฮลดิ้งที่ไม่ได้ลงทุนในธุรกิจการเงินเป็นหลัก ต่อมาในปีบัญชี 2563-2564 ระบุประเภทธุรกิจว่า สื่อโทรทัศน์ แต่ในส่วนสินค้าและบริการ ระบุว่า ปัจจุบันไม่ได้ดำเนินการเนื่องจากติดคดีความ นี่คือเอกสารในปีที่ผ่าน ๆ มา แต่ปีนี้สิ้นปี 2565 กลับมีการแก้ไขข้อความที่น่าสงสัย โดยเติมมาว่า สินค้าหรือบริการเป็นสื่อโฆษณาด้วย
นายชัยธวัช กล่าวต่อว่า การเปลี่ยนแปลงในแบบ สบช.3 หลังสุดของ ITV ดังกล่าว ขัดแย้งกับการตอบของนายคิมห์ ประธานที่ประชุมผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 26 เม.ย. 2566 ต่อข้อซักถามอีกข้อว่า ที่ผู้ถือหุ้นถามว่า หากมีคดีความต่าง ๆ จนเสร็จสิ้นเรียบร้อย บริษัทจะมีปันผลหรือไม่ บริษัทมีแผนดำเนินการธุรกิจต่อไปหรือจะเข้าตลาดหลักทรัพย์อีกหรือไม่ บริษัทมีแผนชำระบัญชี หรือกิจการคืนเงินแก่ผู้ถือหุ้นหรือไม่ ที่บอกว่าขัดแย้งกัน ระหว่างเอกสารงบการเงิน กับสิ่งที่เกิดขึ้นที่ประชุมผู้ถือหุ้น เพราะนายคิมห์ ตอบข้อซักถามดังกล่าวว่า ผลของคดีเป็นจุดสำคัญที่สุดของบริษัท ถ้าผลคดียังไม่ได้ออกมา มันเป็นไปได้ยากมากที่จะดำเนินการใด ๆ กับ ITV ณ ขณะนี้ อย่างในอดีตที่ผ่านมา ITV มีการว่าจ้างที่ปรึกษาการเงินมาดูทางเลือกต่าง ๆ ยังไม่มีทางเลือกใด ๆ ที่เหมาะสม ณ ขณะนี้ ฉะนั้นทั้งหมดทั้งมวลต้องรอผลของคดี ถ้าผลคดีสิ้นสุดลงแล้ว ทางบริษัทฯจะพิจารณาทางเลือกที่เหมาะสมให้กับผู้ถือหุ้นต่อไป ไม่ว่าการพิจารณาจ่ายเงินปันผลอย่างไร จะดำเนินธุรกิจต่อไปหรือไม่ อย่างไร หรือจะชำระบัญชีอย่างไร ทางเราจะพิจารณาทางเลือกที่มีอยู่ทั้งหมด และเลือกทางเลือกที่เหมาะสมให้กับผู้ถือหุ้นต่อไป นี่คือคำตอบของประธานในที่ประชุมผู้ถือหุ้นของ ITV
“คำตอบของนายคิมห์ ในที่ประชุมผู้ถือหุ้น แสดงให้เห็นว่า ณ วันที่ 26 เม.ย. 2566 นายคิมห์ ประธานที่ประชุมผู้ถือหุ้น และประธานกรรมการบริษัท มิได้ทราบข้อเท็จจริงที่ว่า ITV ประกอบกิจการสื่อโทรทัศน์ และมีรายได้จากสื่อโฆษณาแต่อย่างใด นายคิมเป็นประธานกรรมการบริษัท แล้วจะเป็นไปได้อย่างไรว่า แบบ สบช.3 ปี 2566 ที่ ITV นำส่งหลังประชุมผู้ถือหุ้นไม่กี่วันเมื่อ 10 พ.ค. 2566 จะระบุว่ารายได้ ITV ปี 65 มาจากสื่อโทรทัศน์ โดยสินค้าหรือบริการคือสื่อโฆษณา เป็นไปได้อย่างไร มิพักต้องพูดตอบผู้ถือหุ้นเรื่องแนวโน้มปิดบัญชีบริษัทหลังทราบผลคดีด้วยซ้ำ” นายชัยธวัช กล่าว
เลขาธิการพรรคก้าวไกล กล่าวด้วยว่า จากข้อพิรุธทำให้เกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับรายงานงบแสดงฐานะการเงินไตรมาสแรกของปี 2566 ของ ITV สามารถดาวน์โหลดได้ในเว็บไซต์ของบริษัท เพราะในหมายเหตุประกอบงบการเงินงวด 3 เดือนที่สิ้นสุด ณ 31 มี.ค. 2566 หน้าสุดท้าย ข้อ 10 มีการระบุว่า เมื่อวันที่ 24 ก.พ. 2566 บริษัทฯมีการนำเสนอการลงสื่อให้กิจการที่เกี่ยวข้องกัน และเมื่อ 28 เม.ย. 2566 ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ครั้งที่ 2/2566 มีมติรับทราบรูปแบบการดำเนินธุรกิจของบริษัท โดยเป็นผู้ให้บริการลงสื่อโฆษณา จากการที่บริษัทฯได้มีการให้บริการแก่บริษัทฯในกลุ่มข้างต้น บริษัทฯจะรับรู้รายได้ในไตรมาส 2/2566
นายชัยธวัช กล่าวต่อว่า คำถามง่าย ๆ คือว่า เป็นไปได้อย่างไรที่ ITV จะมีรายได้จากผู้ให้บริการสื่อโฆษณาในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ จะเป็นไปได้อย่างไร ทั้ง ๆ ที่ในวันประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้น ในวันที่ 26 เม.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ช่วงไตรมาส 2 เป็นช่วงเวลารายงานฐานะการเงิน นายคิมห์ ในฐานะประธานกรรมการบริษัทฯ ยังตอบผู้ถือหุ้นว่า ITV ยังไม่มีการดำเนินการใด ๆ ต้องรอผลคดีความให้สิ้นสุดเสียก่อน และเป็นไปได้อย่างไรว่า หลังจากประชุมผู้ถือหุ้นในวันที่ 26 เม.ย. ประธานในที่ประชุมได้ตอบว่า ยังไม่มีการดำเนินกิจการใด ๆ เกี่ยวกับสื่อ แต่หมายเหตุประกอบงบการเงินสำหรับไตรมาส 1/2566 กลับระบุว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท 2/2566 มีมติรับทราบรูปแบบการดำเนินธุรกิจของบริษัท โดยเป็นผู้ให้บริการลงสื่อโฆษณา โดยให้บริการแก่กลุ่มบริษัทข้างต้น
นายชัยธวัช กล่าวต่อว่าชัดเจนว่าข้อความระบุในเอกสารงบการเงินที่พูดถึงทั้ง 2 ชิ้น ขัดแย้งกับสิ่งที่นายคิมห์กล่าวในที่ประชุมผู้ถือหุ้นอย่างชัดเจน ในการตอบคำถาม 2 ข้อ เพราะถ้า ITV มีแผนธุรกิจดังกล่าวจริง นายคิมย่อมต้องแจ้งในที่ประชุมผู้ถือหุ้นตั้งแต่ 26 เม.ย.แล้ว ถึงความเป็นไปได้ในการที่จะมีแผนธุรกิจใหม่ แต่ปรากฏว่าหลังจากการประชุมผู้ถือหุ้นเพียง 2 วัน คือ 28 เม.ย. คณะกรรมการบริษัทฯ กลับมีเอกสารบอกว่า มีมติรับทราบแผนธุรกิจใหม่ในช่วงไตรมาส 2/2566 และบริษัทจะรับรู้รายได้ภายในไตรมาส 2/2566 ซึ่งผิดวิสัยอย่างยิ่ง
“เรื่องทั้งหมดเห็นได้ว่า พฤติการณ์ข้อเท็จจริง การทำธุรกิจ การรับรู้การทำธุรกิจใหม่ ตามที่ปรากฏในเอกสารของ ITV นั้น มีความไม่สอดคล้องและขัดแย้งกันเอง กับสิ่งที่เกิดขึ้นในการประชุมผู้ถือหุ้น ซึ่งข่าวสามมิติได้เผยแพร่ไปแล้ว การดำเนินการเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในบันทึกรายงานการประชุมดังกล่าว ให้แตกต่างจากการตอบข้อซักถามตามคลิปการประชุม จึงไม่น่าจะใช่ความผิดพลาดโดยบังเอิญ หรือจัดทำเอกสารตามแบบแผนปกติ หากแต่เมื่อวิญญูชนได้ทราบพฤติการณ์ดังกล่าวแล้ว ย่อมสงสัยได้ว่า นี่เป็นการจงใจแก้ไขให้สอดรับกับบรรดาเอกสารต่าง ๆ ที่ได้ตกแต่งจัดทำขึ้นในภายหลัง ใช่หรือไม่” เลขาธิการพรรคก้าวไกล กล่าว
นายชัยธซัช กล่าวด้วยว่า สุดท้าย พรรคก้าวไกลขอยืนยันว่า เราจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อปกป้องรักษาเสียงของประชาชนที่ผู้มีอำนาจสูงสุดของประเทศในระบอบประชาธิปไตยไว้ให้ได้ แม้จะมีความพยายามจากบุคคลบางกลุ่ม ที่ใช้ประเด็นหุ้น ITV เพื่อส่งศาลรัฐธรรมนูญสั่งหัวหน้าพรรคก้าวไกล หยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.ให้ได้ ก่อนประชุมรัฐสภาเพื่อโหวตเลือกนายกฯคนใหม่ พรรคก้าวไกลเชื่อมั่นว่า อำนาจของประชาชนจะได้รับชัยชนะในที่สุด และ กกต.รวมถึงองค์กรอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง จะสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม ตามเจตจำนงของรัฐธรรมนูญ ประกอบกับบรรทัดฐานของศาลรัฐธรรมนูญ และศาลฎีกาที่ผ่านมา ส่วนกรณีที่ กกต.อาจจะดำเนินคดีกับนายพิธาในอนาคต ตามความผิดฐานรู้อยู่แล้วว่าไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ตามมาตรา 151 ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. พรรคก้าวไกลมั่นใจว่า ข้อกล่าวหานี้ไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอ เช่นเดียวกับอัยการสูงสุด ไม่สั่งฟ้องนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ไปแล้วเมื่อ 30 พ.ย. 2565 ที่ผ่านมา ในคดีถือครองหุ้นบริษัท วีลัค มีเดีย จำกัด
“สำหรับการเปิดโปงขบวนการปลุกผี ITV ต้องขอบคุณการทำงานอย่างหนักของสื่อมวลชน โดยเฉพาะอดีตผู้สื่อข่าว ITV เก่า วันนี้เป็นการพิสูจน์แล้วว่า แม้ ITV จะยุติการดำเนินงานไปแล้วหลายปี แต่จิตวิญญาณสื่อมืออาชีพ ยังคงอยู่ในตัวผู้สื่อข่าวเหล่านั้นเสมอ” เลขาธิการพรรคก้าวไกล กล่าว