“คุณหญิงสุดารัตน์” หวั่นประชาชน ผิดหวังกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญอีกครั้ง หลังฝ่ายอำนาจพยายามสร้างอภินิหาร หยุดการแก้ไข ขณะที่ “พงศ์เทพ” ระบุ สสร.เลือกตั้ง จะยกร่างได้ดีกว่าปี 60
การเสวนา “ฝ่าด่านอรหันต์ หยุดกระบวนการล้มรัฐธรรมนูญประชาชน” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานกลุ่มสร้างไทย ตั้งคำถามว่า เหตุใดการรัฐประหารฉีกรัฐธรรมนูญ จึงทำได้ง่ายและไม่เคยมีความผิด แต่เมื่อประชาชนจะแก้ไขรัฐธรรมนูญของของตนเองกลับยากเย็น โดยเห็นว่า สังคมอยู่ในช่วงเวลาที่ถูกหลอกให้มีความหวัง เช่นเดียวกับตอนร่างรัฐธรรมนูญปี 2560 ฝ่ายผู้มีอำนาจบอกให้ลงประชามติไปก่อน เพื่อจะได้มีการเลือกตั้ง
รัฐบาลกำลังเล่น 2 หน้า สร้างความหวังอีกครั้งว่า จะได้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แต่ท้ายที่สุดประชาชนจะไม่ได้เป็นผู้แก้ไขรัฐธรรมนูญ สสร. จะไม่เกิด แต่กลุ่มเผด็จการ และ สว.ที่มาจากเผด็จการจะเป็นผู้ได้แก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่ เพื่อความได้เปรียบและเสริมความแข็งแกร่งของตนเองให้มากขึ้น
สำหรับ ส.ส.บางคนที่โยนอำนาจของตนเองให้ผู้อื่นวินิจฉัย เป็นสิ่งที่น่าอับอายมาก ซึ่งนับแต่ทำงานการเมืองมา 29 ปี ไม่เคยเห็นว่า มีสมาชิกรัฐสภายุคไหนจะมีพฤติกรรมที่น่าอับอายเช่นนี้ จึงไม่แปลกที่หลายส่วนในสังคมจึงตั้งคำถามว่า ส.ว.มีไว้ทำไม
ท้ายสุดคุณหญิงสุดารัตน์ ได้เรียกร้องให้ทุกฝ่าย โดยเฉพาะศาลรัฐธรรมนูญได้ร่วมกันหาทางออกให้ประเทศ อย่าทำให้ประเทศถึงทางตัน เพราะประชาชนคนตัวเล็กๆ กำลังเดือดร้อนอย่างแสนสาหัส เกมที่ผู้มีอำนาจกำลังทำ จะให้ไม่มีใครชนะ ประเทศแพ้ ประชาชนแพ้ จึงขอเรียกร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยผลประโยชน์ประชาชน และควรมีคำวินิจฉัยออกมาก่อนการลงมติในวาระ 3
นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ระบุว่า รัฐธรรมนูญ ปี 2560 ไม่มีมาตราใด บัญญัติว่า ไม่สามารถยกร่างฉบับใหม่ได้ ระบุเพียงแค่ห้ามเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐและระบอบการปกครองเท่านั้น จึงต้องตั้งคำถามว่า หากห้ามมิให้ยกร่างใหม่ทั้งฉบับเหตุใดไม่ระบุไว้ หรือหากมีการแก้ไขทุกมาตรายกเว้นเฉพาะเรื่องของรูปแบบของรัฐ รวมถึงรูปแบบการปกครอง มีความต่างกับการยกร่างใหม่ทั้งฉบับอย่างไร
สำหรับศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยอย่างไร นายพงศ์เทพ เห็นว่า ศาลรัฐธรรมนูญ เข้าใจดีว่ารัฐสภาจะลงมติในวาระ 3 เมื่อใด และมีเวลาพอให้ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยให้แล้วเสร็จ ก่อนที่รัฐสภาจะลงมติในวาระ 3 ซึ่งนายพงศ์เทพ เชื่อว่าศาลรัฐธรรมนูญจะเข้าใจถึงความจำเป็น ไม่เช่นนั้นก็เป็นเรื่องที่น่ากังวล
อดีตรัฐมนตรียุติธรรม เชื่อว่าไม่ว่าระบบการเลือกตั้ง ส.ส.ร.จะเป็นอย่างไร แต่ส.ส.ร.ที่ได้จะน่าเชื่อถือ และสามารถยกร่างได้ดีกว่าที่ผ่านมา(ปี2560) และสุดท้ายประชาชนจะเป็นผู้ตัดสิน เพราะหาก ส.ส.ร.ยกร่างไม่ดีพอ ประชาชนก็จะลงมติไม่เห็นชอบ เพื่อให้เกิดกระบวนการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่อีกครั้ง
นายโภคิน พลกุล กังวลว่าร่าง รัฐธรรมนูญฉบับที่กำลังแก้ไขจะไม่ผ่านวาระ 3 ซึ่งที่ผ่านมาตนเองได้ผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญมายาวนาน ตั้งแต่รัฐธรรมนูญปี 2540 ซึ่งมีที่มาจากประชาชน และถือว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่ดีที่สุดฉบับหนึ่งของประเทศ อย่างไรก็ตามจากวิกฤติทางการเมือง ที่ต่อเนื่องยาวนานกว่า 10 ปี จึงจำเป็นที่ต้องขอให้ทุกฝ่ายร่วมมือกัน เพื่อให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญ เดินหน้าได้ตามกระบวนการ นำพาประเทศเดินออกจากทางตัน ผลักดันให้เกิดร่างรัฐธรรมนูญโดยประชาชน และผ่านความเห็นชอบโดยประชาชน
ทั้งนี้ นายโภคิน เห็นว่า กรณีที่มี ส.ว.และ ส.ส. ยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูวินิจฉัย ว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญ สามารถแก้ไขได้หรือไม่นั้น คงต้องรอศาลรัฐธรรมนูญ ว่าจะวินิจฉัยออกมาเมื่อใด หากรัฐสภาให้ความเห็นชอบวาระที่ 3 ไปแล้ว จะไปสู่ขั้นตอนการลงประชามติ ซึ่งถ้าศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยหลังผ่านวานะ 3 ว่าการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทำไม่ได้ ผลที่ตามมาจะทำให้ฝ่ายรัฐบาลร่วมกับ สว. จะแก้ไขประเด็นใดก็ได้ และจะแก้ไขประเด็นที่เป็นประโยชน์กับฝ่ายรัฐบาล เพราะฝ่ายค้านไม่มีอำนาจคานกับฝ่ายรัฐบาลและ สว.ได้อีกต่อไป
นายโภคิน ตั้งข้อสังเกตว่า นับแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง สถาปนารัฐธรรมนูญฉบับแรก ทุกฉบับจะมีหมวดที่ว่าด้วย การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นสิ่งที่เข้าใจตรงกันว่า สามารถแก้ไขรายมาตราหรือจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ สำหรับร่างรัฐธรรมนูญที่ผ่านวาระ1 และ 2 ของรัฐสภาขณะนี้ ไม่ได้ไปแตะต้องหมวด 1 และ 2 ซึ่งในอดีตก็เคยเกิดขึ้นมาแล้ว ซึ่งนายโภคิน มองว่าหากการแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่สามารถยกร่างใหม่ได้เท่ากับเป็นการปกป้อง อำนาจของเผด็จการ