วันศุกร์, พฤศจิกายน 22, 2024
spot_img
หน้าแรกHighlightชำแหละ 2 พรรคใหญ่-อันดับ 1 บ้ากาม อันดับ 2 “ลุยไฟ”ดึงดัน Digital Wallet
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

ชำแหละ 2 พรรคใหญ่-อันดับ 1 บ้ากาม อันดับ 2 “ลุยไฟ”ดึงดัน Digital Wallet

“อดีตรองอธิการฯมธ.” ร่ายยาวชำแหละ 2 พรรคใหญ่ พรรคอันดับ 1 บ้ากาม-คุกคามทางเพศ-มีคดีเพียบ พรรคอันดับ 2 พรรคลุยไฟ ดึงดันแต่เรื่อง digital wallet โดยไม่สนคำท้วงติง และไม่มีข้อมูลมาหักล้าง ชี้เลือกตั้งคราวหน้า ถ้า 2 พรรคนี้มาอีก ประเทศนี้อยู่ยาก

เมื่อวันที่ 17 ต.ค.66 รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊ก Harirak Sutabutr ระบุข้อความว่า พรรคการเมือง 2 พรรคของประเทศไทย จากการเลือกตั้งครั้งหลังสุด พรรคหนึ่งได้จำนวนสส.มาเป็นอันดับที่ 1 อีกพรรคหนึ่งได้จำนวน สส.มาเป็นอันดับที่ 2

หลังจากที่ต้องแสดงละครกันหลายฉาก พรรคที่ได้คะแนนเสียงมาเป็นอันดับที่ 2 ได้เป็นรัฐบาล ตั้งแต่ได้เป็นรัฐบาล นอกจากความจำเป็นเฉพาะหน้า ที่ต้องช่วยเหลือแรงงานไทยในอิสราเอล ก็ยังไม่ได้ทำอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอัน นอกจากหมกมุ่นอยู่กับเรื่อง digital wallet 10,000 บาท ยังคงดึงดันจะทำให้ได้ คนท้วงติงก็ว่ามีอคติบ้าง ไม่เห็นหัวคนระดับรากหญ้าบ้าง นักเศรษฐศาสตร์และนักการเงินชั้นนำของประเทศร่วมร้อยคน ซึ่งรวมทั้งอดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย 2 คน อดีตรองผู้ว่าฯอีกหลายคน และอดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์อีก 5 คน ร่วมลงชื่อคัดค้าน พร้อมให้เหตุผลเป็นข้อๆ อย่างปราศจากอคติ แต่เป็นเพราะความเป็นห่วงใยต่อประเทศชาติ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนปัจจุบันก็ไม่เห็นด้วย แต่ด้วยมารยาทจึงไม่ได้ร่วมลงชื่อด้วย หลังจากนั้น ขณะที่นายกรัฐมนตรีไม่อยู่ในประเทศ ก็ได้ให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังแถลงความคืบหน้า ซึ่งก็ไม่มีอะไรใหม่ ไม่ได้ให้ข้อมูลหรือความเห็นที่หักล้างเหตุผลของการคัดค้านแม้แต่ข้อเดียว บอกอย่างเดียวว่าไม่เคยแม้แต่จะคิดที่จะล้มเลิกนโยบายนี้ อีกเหตุผลก็คือ ไม่เคยได้ยินว่าใครอยากให้ล้มเลิก มีแต่ถามว่า เมื่อไรจะได้เงิน

ถ้าย้อนไปดูคำชี้แจงของพรรคนี้ต่อ กกต. เกี่ยวกับที่มาของเงินที่จะนำมาใช้ตามนโยบาย digital wallet 10,000 บาท ก็จะเห็นคำชี้แจงว่า ที่มาของเงินจะมาจากการบริหารงบประมาณปกติ และบริหารระบบภาษี แต่ในขณะนี้เป็นที่แน่ชัดว่า ไม่สามารถทำอย่างที่ชี้แจงได้ และจนบัดนี้ยังไม่แน่ว่าจะเอาเงินมาจากที่ใด แสดงว่าคำชี้แจงต่อ กกต. ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง เป็นการชี้แจงแบบขายผ้าเอาหน้ารอด แปลกที่ กกต. ก็เชื่อตามนั้น ทั้งยังตีตกคำร้องเรียนให้ตรวจสอบเรื่องนี้ทุกคำร้อง ว่าเรื่องนี้ไม่เข้าข่ายสัญญาว่าจะให้และหลอกลวงให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยมของผู้สมัคร ดังนั้นหากมีการดำเนินนโยบายนี้จนได้และทำให้ประเทศต้องเสียหายจากการผิดนัดชำระหนี้ กกต. จะรับผิดชอบอย่างไร

ขณะนี้นายกรัฐมนตรีกำลังเรียกร้องให้คนส่งเสียงสนับสนุนโยบาย digital wallet 10,000 บาท เพื่อสู้กับกระแสคัดค้าน สื่อว่าผู้คัดค้านไม่มีเหตุผล ทั้งที่เขาเขียนเหตุผลชัดเจน ซึ่งก็แน่นอนว่าถ้าไปถามคนทั่วไปที่อาจมองไม่เห็นความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาต่อประเทศ ก็ล้วนเห็นด้วย เพราะใครๆ ก็อยากได้เงิน 10,000 บาทกันทั้งนั้น

รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร

เพราะอะไรนายกรัฐมนตรีและพรรคอันดับ 2 จึงไม่ยอมถอย และกล้า ขอใช้คำของศ.ดร.เมธี ครองแก้ว อดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ว่า “ลุยไฟ” เช่นนี้ นอกจากเป็นการนำเงินของประเทศมาใช้หาเสียงแล้ว มีเงื่อนงำอะไรที่เป็นการเดิมพันครั้งใหญ่หรือไม่ เรื่องการดึงดันต้องพัฒนาระบบ blockchain ไม่ยอมใช้ระบบที่มีอยู่แล้ว มีนัยยะอะไรหรือไม่ แต่ขอบอกเลยว่า โอกาสที่จะทำได้สำเร็จโดยไม่เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติมีน้อยยิ่งกว่าน้อย เมื่อเวลาผ่านไป เงื่อนงำทั้งหลายคงจะมีความกระจ่างขึ้นตามลำดับ ซึ่งเราจะต้องคอยติดตามกันต่อไป
มาถึงพรรคการเมืองอันดับที่ 1 ซึ่งเป็นฝ่ายค้าน หากจัดประเภทสส.จะแบ่งออกได้เป็น 5 ประเภท

ประเภทที่ 1 คือสส.ที่เคยทำผิดกฎหมายมาก่อน แต่ปิดบังไม่ให้พรรครู้ เมื่อมีการเปิดโปงโดยคนนอกพรรค เนื่องจากขาดคุณสมบัติ จึงจำยอมต้องลาออกจากสส.

ประเภทที่ 2 คือประเภทที่ทำผิดตั้งแต่ก่อนการเลือกตั้ง และกำลังอยู่ในระหว่างถูกดำเนินคดี ซึ่งรวมทั้งที่ทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 อยู่ด้วยหลายคน คนเหล่านี้กรรมบริหารพรรคและคนในพรรคล้วนรู้ดี แต่ยังคงรับมาลงสมัคร สส. คงเนื่องจากทราบว่า ความผิดเรื่องที่เกี่ยวกับการชุมนุมประท้วง และความผิดตามมาตรา 112 บรรดาด้อมส้มไม่ใส่ใจว่าเป็นความผิด กลับยินดีจะลงคะแนนให้ ทั้งที่การกระทำของผู้สมัครเหล่านี้ เป็นการเหยียบย่ำความรู้สึกของคนส่วนใหญ่ของประเทศทั้งสิ้น แต่เขาเหล่านี้ก็ยังได้รับเลือกตั้งเข้ามา

ประเภทที่ 3 คือ สส.ที่คนในท้องถิ่นรู้ดีว่า เป็นคนไม่มีความรู้ความสามารถ บางคนทั้งชีวิตไม่มีอาชีพ ได้แต่เล่นการพนัน พรรคก็ยังรับมาเป็นผู้สมัคร และกระแสความนิยมของพรรคก้าวไกล ทำให้ได้รับเลือกตั้งเข้ามาได้อย่างไม่น่าเชื่อ สส.ประเภทนี้ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักมากนัก

ประเภทที่ 4 คือ สส.ที่ยังไม่เคยทำผิดจนถูกดำเนินคดี หรือถูกสอบทางวินัยโดยพรรค แต่เริ่มออกลายให้เห็น เมื่อมีคนร้องเรียนในเรื่องต่างๆ เช่น มีการหลอกลวงเกี่ยงกับเรื่องเพศ คุกคามทางเพศ ดื่มสุราในสถานบันเทิงที่เปิดเกินเวลา ทำร้ายร่างกายสุภาพสตรี เป็นต้น

ประเภทที่ 5 คือพวกที่ไม่ได้มีประวัติอย่าง 3 ประเภทแรก มีความรู้ความสามารถเพียงพอ แต่เป็นพวกที่มีทัศนคติต่อสถาบันพระมหากษัตริย์แบบเดียวกับผู้นำพรรค และมีความเชื่อว่าพรรคยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย พรรคฝ่ายตรงข้ามก่อนการเลือกตั้งล้วนเป็นเผด็จการ

ขณะนี้มีแต่ข่าวที่ยิ่งทำให้พรรคอันดับ 1 เกิดความเสื่อมถอยลงเรื่อยๆ นอกจากพบว่ามีสส.บางคนเคยต้องโทษจำคุก ต้องลาออกไป สส.หลายคนทะยอยกันทำในสิ่งที่ขัดต่อจริยธรรม สวนทางกับอุดมการณ์ของพรรคอย่างสิ้นเชิง และสังเกตว่า การดำเนินการทางวินัยของพรรค มีความล่าช้าอย่างมาก ทั้งยังลงโทษสถานเบา ผู้ที่เป็นอดีตสส.คนหนึ่งมีเรื่องการล่วงละเมิดทางเพศ หลังจากมีการสอบทางวินัยเป็นเวลายาวนาน ในที่สุดถูกขับออกจากพรรค แต่ผู้ที่เป็นสส.อยู่ในปัจจุบัน ที่มีเรื่องทำร้ายร่างกายสุภาพสตรีและทำให้เสียทรัพย์ กลับถูกลงโทษสถานเบาเพียง ไม่ให้มีตำแหน่งใดๆ ในพรรค และไม่ให้เป็นกรรมาธิการสภา

สส.คนล่าสุดที่ถูกร้องเรียนตั้งเดือนสิงหาคมว่ากระทำการคุกคามทางเพศทีมงานสาว ซึ่งใครๆ ดูแชทที่หลุดแล้ว ล้วนเห็นว่าเป็นการคุกคามทางเพศอย่างชัดแจ้ง เจ้าตัวออกมาชี้แจงก็ใช้วิธีเหมือนกับสส.คนอื่นๆ ในพรรค คือกล่าวหาคนอื่นว่า ต้องการ discredit ตัวเอง กรณีนี้คณะกรรมการวินัยฯของพรรค กลับขอเวลาหาข้อมูลเพิ่มเติมโดยยังไม่พิจารณาโทษใดๆ ผิดกับกรณีนายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาฯที่ทำผิดเพียงโฆษนาเบียร์ทาง social media นำงบรับรองของรองประธานสภาฯไปเลี้ยงหมูกะทะพนักงานทำความสะอาดสภา และไม่ยอมลาออกจากตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎร กลับลงโทษด้วยการขับออกจากพรรคอย่างง่ายดายภายในวันเดียวโดยไม่ต้องมีการสอบทางวินัย

สิ่งที่คนเริ่มเห็นกันมากขึ้นถึงการ “ดีแต่พูด” ของพรรคนี้ก็คือ ที่อดีตหัวหน้าพรรคและแกนนำพรรคเคยพูดหาเสียงไว้ ปัจจุบันเริ่มมีบทพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ไม่ใช่ความจริงและไม่เป็นจริง เช่น การพูดว่า ทหารมีไว้ทำไม สมัยนี้เขาไม่รบกันแล้ว ไม่จำเป็นต้องซื้ออาวุธ การเล่นละครขับรองประธานสภาฯออกจากพรรค การกระทำที่สวนทางกับหลักการที่ตัวเองพูดไว้ การใช้เงินงบประมาณแผ่นดินไปดูงานต่างประเทศทั้งที่เคยพูดว่า ไม่ควรทำ ทำให้ได้เห็นว่า พรรคนี้ไม่ได้เป็นพรรคที่ก้าวหน้าอย่างที่เคยวาดภาพไว้แต่อย่างใด

ทั้ง 2 พรรคที่กล่าวมา หลังการเลือกตั้งใหม่ๆ ทั้ง 2 พรรคพยามจับมือกันอย่างเหนียวแน่นเพื่อร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล แต่จัดตั้งไม่สำเร็จ เนื่องจากสว.ส่วนใหญ่ขวางไว้ ทั้ง 2 พรรคจึงต้องแยกกัน พรรคหนึ่งไปร่วมกับพรรคอื่นๆ จัดตั้งรัฐบาล อีกพรรคหนึ่งจำต้องลงมาเป็นฝ่ายค้าน

ลองคิดดูว่า หากพรรคการเมืองทั้งสองร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ อะไรจะเกิดขึ้นกับประเทศไทยบ้าง หากการเลือกตั้งครั้งหน้า ทั้ง 2 พรรคการเมืองนี้ได้รับเลือกเข้ามาเป็นอันดับ 1 และอันดับ 2 อีก เราคงอยู่ประเทศนี้ได้ยากเสียแล้วครับ

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img