“เรืองไกร” ส่ง นส. จี้ “นายกฯ” สอบ “เศรษฐา” รู้เรื่องการหนีภาษี 1,734 ล้านบาท ปมที่ดิน “ศิวะแลนด์” หรือไม่ เชื่อน่าจะทำเป็นกระบวนการสมรู้ร่วมคิด ทำให้รัฐเสียหาย
วันที่ 22 ต.ค.2566 นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ผู้ถือหุ้น บมจ.แสนสิริ เปิดเผยว่า วันนี้ ตนได้ส่งหนังสือทางไปรษณีย์ EMS ถึงนายกรัฐมนตรี เพื่อขอให้ตรวจสอบบริษัท พัฒนสิริ เอสเตท จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของแสนสิริ ว่าการซื้อที่ดินจากบริษัท ศิวะ แลนด์ จำกัด มีการหักภาษีโดยถูกต้องตามประมวลรัษฎากร หรือไม่ การซื้อที่ดินดังกล่าวมีการเลี่ยงภาษี ใช่หรือไม่ การเลี่ยงภาษีดังกล่าว ทำให้กรมสรรพากรเสียหาย หรือไม่ เมื่อปี 2559 แสนสิริ มีนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ โดยเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2559 แสนสิริ ได้ตั้งบริษัท พัฒนสิริ เอสเตท จำกัด และในวันที่ 14 มีนาคม 2559 บริษัท พัฒนสิริ เอสเตท จำกัด ก็ได้ซื้อที่ดินจากบริษัท ศิวะ แลนด์ จำกัด โดยแจ้งในสัญญาซื้อขาย 499,460,000 บาท
นายเรืองไกร กล่าวว่า เรื่องนี้ นายชูวิทย์ เคยเปิดโปงความไม่ชอบมาพากลมาแล้ว จนทำให้เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2566 แสนสิริ ได้แถลงข่าวผ่าน ตลท. บางส่วน ดังนี้
“ตามที่ได้มีผู้นำเสนอข้อมูลบิดเบือนพาดพิง บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เกี่ยวกับวิธีการจัดซื้อที่ดินของแสนสิริว่า ดำเนินการไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ทำให้ประชาชนเข้าใจคลาดเคลื่อน บริษัทฯ ขอชี้แจงว่า
– แสนสิริ และบริษัทย่อยของแสนสิริ กรรมการและผู้บริหารของบริษัทดังกล่าว ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับบริษัท ศิวะ แลนด์ จำกัด ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินแปลงดังกล่าว
– แสนสิริ ซื้อที่ดินติดถนนสุขุมวิท (บริเวณปากซอยสุขุมวิท 12) ในปี 2559 ทั้งหมดจำนวน 890.5 ตารางวา ในราคาเฉลี่ย 1,950,000 บาทต่อตารางวา ซึ่งผู้ขายเป็นผู้รับผิดชอบภาษีอากร ค่าธรรมเนียม และค่าใช้จ่ายโอนกรรมสิทธิ์ทั้งหมด ซึ่งราคาดังกล่าวเป็นราคาที่เหมาะสมเทียบเคียงกับราคาตลาด
– แสนสิริ ชำระราคาที่ดินแปลงดังกล่าวทั้งหมด เป็นเงินจำนวน 1,734,525,000 บาท (หนึ่งพันเจ็ดร้อยสามสิบสี่ล้านห้าแสนสองหมื่นห้าพันบาทถ้วน) โดยจ่ายเป็นเช็คตามคำสั่งของผู้ขาย
แสนสิริ ขอยืนยันว่าได้ดำเนินการถูกต้องตามกฎหมาย โปร่งใส และตรวจสอบได้ จึงขอชี้แจงมา ณ ที่นี้”
นายเรืองไกร กล่าวว่า ข่าวที่แถลงออกมา ถือเป็นใบเสร็จที่นำไปเป็นหลักฐานในการตรวจสอบต่อไปได้ ดังนี้
- ถ้าถือตามสัญญาซื้อขาย ก็จะต้องมีการหักภาษี ณ ที่จ่ายร้อยละ 1 คือ 4,994,600 บาท
- ถ้าถือตามข่าวของแสนสิริ ก็จะต้องมีการหักภาษี ณ ที่จ่ายร้อยละ 1 คือ 17,345,500 บาท
- กรณี จึงอาจมีการหักภาษี ณ ที่จ่ายส่งกรมสรรพากร ต่ำไป คือ 12,350,650 บาท
- เมื่อขายที่ดินดังกล่าวแล้ว มีพิรุธ คือ บริษัท ศิวะ แลนด์ จำกัด ไม่ส่งงบการเงินปี 2559
- เมื่อไปดูงบปี 2558 ของบริษัท ศิวะ แลนด์ จำกัด พบว่าที่ดินมีต้นทุนประมาณ 124 ล้านบาท
- การไม่ปิดงบการเงิน อาจส่อเจตนาจะไม่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ให้กรมสรรพากร
- ถ้าคิดตามราคา 499 ล้านบาท ก็จะมีกำไรก่อนเสียภาษี ประมาณ 375 ล้านบาท ที่อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล ร้อยละ 20 จะต้องเสียภาษีประมาณ 75 ล้านบาท
- ถ้าคิดตามราคา 1,734 ล้านบาท ก็จะมีกำไรก่อนเสียภาษี ประมาณ 1,610 ล้านบาท ที่อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล ร้อยละ 20 จะต้องเสียภาษีประมาณ 322 ล้านบาท
นายเรืองไกร กล่าวว่า เรื่องนี้ จึงน่าจะทำเป็นกระบวนการ มีการสมรู้ร่วมคิดกัน ทำให้รัฐเสียหาย เก็บภาษีไม่ได้ ทั้งภาษีหัก ณ ที่จ่าย และภาษีเงินได้นิติบุคคล และอาจทำให้ผู้ถือหุ้นแสนสิริ เสียหายตามมาด้วย ซึ่งในปี 2559 แสนสิริ มีนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ เรื่องนี้ แสนสิริแถลงข่าวว่า จ่ายเป็นเช็คตามคำสั่งของผู้ขาย ดังนั้น ถ้าตรวจสอบจากเอกสารทางบัญชี ก็จะทราบเส้นทางการเงินอย่างแน่นอน และจะรู้ได้ว่า เช็คสั่งจ่ายไปกี่ใบ ให้ใครบ้าง มีขั้นตอนใดที่ไม่ชอบด้วย ซึ่งในขณะเกิดเหตุ นายเศรษฐา ทวีสิน ในฐานะกรรมการผู้จัดการใหญ่ น่าจะมีส่วนรับผิดชอบอยู่ด้วย ไม่มากก็น้อย
“ผมจึงจำเป็นต้องขอให้นายกรัฐมนตรี รีบสั่งการให้เจ้าหน้าที่ของรัฐในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปเรียกพยานเอกสารต่าง ๆ เกี่ยวกับการซื้อที่ดินแปลงดังกล่าว จากบริษัท พัฒนสิริ เอสเตท จำกัด มาการตรวจสอบพร้อมทั้งสอบถามนายเศรษฐา เพื่อให้ได้ความว่า เงินจำนวน 1,734,525,000 บาท ที่จ่ายเป็นเช็คตามคำสั่งของบริษัท ศิวะ แลนด์ จำกัด นั้น จ่ายไปกี่ใบ จ่ายให้ใครบ้าง การหักภาษี ณ ที่จ่าย ต่ำไป หรือไม่ อย่างไร และควรสอบนายเศรษฐา ทวีสิน ในฐานะกรรมการผู้จัดการใหญ่ ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องหรือรับรู้เรื่องการซื้อขายที่ดินแปลงดังกล่าว ที่ส่อไปในทางหนีภาษี ด้วยหรือไม่ อย่างไร”นายเรืองไกร กล่าว