“สภาฯ” ถกญัตติ “ก้าวไกล” ชงครม.ทำประชามติยกร่างรธน.”พริษฐ์” ชี้ “ก.ก.” รับได้ทำ “1-2” ครั้งก่อนตั้ง ส.ส.ร. วอนสส.ทุกพรรคแสดงจุดยืนเหมือนปลายปี65
วันที่ 25 ต.ค.2566 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาฯ ที่มีนายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาฯคนที่หนึ่ง เป็นประธานการประชุม ได้มีดารพิจารณาญัตติ เรื่อง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาเห็นชอบและแจ้งให้คณะรัฐมนตรีดำเนินการให้มีการออกเสียงประชามติเพื่อสอบถามความเห็นของประชาชนต่อการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยมีนายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล(ก.ก.) เป็นผู้เสนอ
นายพริษฐ์ กล่าวเสนอญัตติว่า พรรค ก.ก. ขอยืนยันว่าการแก้ไขรายมาตราอย่างเดียวไม่เพียงพอ ต่อการแก้ไขปัญหาทั้งหมด แต่เราจำเป็นต้องมีการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่มีความชอบธรรมทางประชาธิปไตย เพราะรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันมีปัญหาขาดความชอบธรรมทั้งที่มา กระบวนการ เนื้อหา อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มีการท้วงติงว่าการจัดทำประชามติอย่างน้อย 2 ครั้ง คือ ก่อนและหลังยกร่างรัฐธรรมนูญ โดยหลังยกร่าง หลายฝ่ายไม่ได้ทักท้วง แต่ที่ยังมีข้อถกเถียงกันคือก่อนยกร่างรัฐธรรมนูญจะต้องดำเนินการกี่ครั้ง
นายพริษฐ์ กล่าวอีกว่า การจะมีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) จะต้องเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน เพื่อเพิ่มเรื่องนี้เข้าไป ซึ่งตามรัฐธรรมนูญมาตรา 256(8) กำหนดไว้ว่าการเปลี่ยนแปลงแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นจะต้องจัดทำประชามติ 1 ครั้งเสียก่อน ซึ่งตรงนี้ตรงกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ แต่ก็มีบางฝ่ายตีความว่าจะตั้งทำประชามติก่อนแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2560 ดังนั้น จึงกลายเป็นข้อถกเถียงว่าก่อนที่จะมี สสร.นั้นจะต้องทำประชามติ 1-2 ครั้ง ซึ่งในทางการเมือง พรรค ก.ก. ยอมได้หากจะมีการทำประชามติอีก 1 ครั้งรวมเป็น 2 ครั้งก่อนที่จะมีสสร.
นายพริษฐ์ กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ ย้ำว่า สสร.จะต้องมาจากการเลือกตั้ง 100% ส่วนข้อกังวลที่ห่วงว่าจะไม่มีผู้เชี่ยวชาญเข้ามายกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นั้น สสร.สามารถเปิดให้มีผู้เชี่ยวชาญเข้ามาแนะนำ ให้คำปรึกษาได้ ขณะที่ข้อกังวลว่าการยกร่างรัฐธรรมนูญจะเป็นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐและการปกครองนั้น ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 255 ของรัฐธรรมนูญห้ามไว้ว่าการกระทำนั้นไม่สามารถทำได้อย่างแน่นอน
“คำถามที่เรานำเสนอเพื่อใช้สำหรับถามในการทำประชามติ เป็นคำถามที่ทุกพรรคการเมืองเมื่อสภาชุดที่แล้วนำเสนอไว้ก่อนแล้ว ไม่ใช่คำถามใหม่ เพราะเคยเสนอโดยนายณัฐวุฒิ บัวประทุม จากพรรคก้าวไกล และนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ จากพรรคเพื่อไทย มาแล้วเมื่อปี 65 และยิ่งกว่านั้นญัตติคราวที่แล้ว เดือนพ.ย. 65 ได้รับมติเอกฉันท์ท่วมท้นจากทุกพรรคการเมืองหลัก ดังนั้น สส.ทุกคนที่เคยให้ความเห็นชอบ ผมเชื่อว่าเวลาผ่านไปยังไม่ถึงหนึ่งปี คงไม่มีเหตุผลที่จะทำให้สส.เปลี่ยนจุดยืน แต่หากจะเปลี่ยนจุดยืน ผมหวังว่าสส.เหล่านั้นจะรับผิดชอบอภิปรายต่อสภาว่าทำไมจุดยืนถึงเปลี่ยนแปลงไป” นายพริษฐ์ กล่าว