“วิโรจน์” บอกตลกร้ายปม”ผกก.สน.พระโขนง” แจงติดสติกเกอร์ให้จำรถง่าย รู้อยู่แกใจดี ยันพยานหลักฐานยังปกป้องไม่ได้ ชี้ถึงเวลาต้องปฏิรูปตำรวจ แนะนายกฯยอมรับมีส่วยจะได้รักษาให้ถูกโรค
วันที่ 9 พ.ย.2566 เวลา 11.40 น. ที่รัฐสภา นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล กล่าวถึงความคืบหน้าในการตรวจสอบ กรณีส่วยสติกเกอร์รถบรรทุก ว่า ยืนยันว่าไม่ใช่แค่การบรรทุกน้ำหนักเกิน แต่เป็นโครงการที่การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) กำลังจะนำสายไฟฟ้าลงสู่ใต้ดิน 700 บ่อทั่ว กทม. เข้าใจว่า วิศวกรของ กฟน. คงไม่ได้ออกแบบแผ่นปูนรองรับรถบรรทุกน้ำหนักกว่า 30 ตัน ที่อยู่ในสภาวะสั่นสะเทือนจากการวิ่งด้วย ดังนั้นเรื่องนี้กระทบถึงผู้ที่ใช้ยานพาหนะบนท้องถนนเป็นจำนวนมาก หากเราติดตามเรื่องถนนทรุดตัวในกทม. เราก็จะเห็นข่าวลักษณะนี้อยู่เป็นระยะๆ
เมื่อถามว่า มีการชี้แจงว่าส่วยสติกเกอร์เป็นสัญลักษณ์ของบริษัทรับเหมา นายวิโรจน์ กล่าวว่า เป็นเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้น ตนได้ฟังการให้สัมภาษณ์ของผู้กำกับสน.พระโขนง เขาก็บอกว่า เบื้องต้นได้สอบถามเจ้าของรถ ซึ่งเจ้าของรถตอบกลับมาว่า เป็นสติกเกอร์ที่ติดไว้ เพื่อให้คนขับรถแยกรถออกว่าจอดรถไว้ตรงไหน ซึ่งโดยปกติตนคิดว่า คนขับรถจำรถได้อยู่แล้ว หากจะออกแบบสติกเกอร์คาดหน้ารถรูปโลโก้บริษัทตนเองยังมีประโยชน์มากกว่า เพราะการติดสติกเกอร์ในลักษณะนี้ไม่ได้ทำให้คนขับมองเห็น แต่เอาไว้ให้ใครสักคนที่เตี๊ยมเอาไว้มองเห็นมากกว่า ต้องตั้งคำถามกับผู้กำกับสน.พระโขนง และผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบ.ชน.) 5 ว่า คนที่เตี๊ยม เอาไว้ให้มองเห็นเป็นข้าราชการตำรวจหรือไม่ ระดับไหน รวมถึงมีการจ่ายส่วยด้วยหรือไม่
“เรื่องนี้ควรต้องมีการสอบถาม หากติดสติกเกอร์ เพื่อให้มองเห็นรถ จำรถตนเองได้ง่าย ผมมองว่า ตลกมาก เป็นเรื่องที่ประชาชนก็รับไม่ได้ รู้อยู่แก่ใจ รู้อยู่แก่อก ขึ้นอยู่กับจะสอบ หรือไม่สอบเท่านั้น” นายวิโรจน์ กล่าว
เมื่อถามว่า มีการมองว่าสติกเกอร์ดังกล่าว เป็นชื่อของเจ้าของรถ นายวิโรจน์ กล่าวว่า ก็เป็นชื่อเจ้าของอยู่แล้ว ตัว “B” บางคนก็บอกว่าย่อมาจาก “เสี่ยบิ๊ก” แต่ที่ต้องตั้งคำถามคือ “เสี่ยบิ๊ก” คือใคร มีการโยงใยไปถึงการเรียกรับผลประโยชน์หรือไม่ ซึ่งตนมองว่า มีการตัดตอนคำตอบเร็วเกินไป ทำให้มองเป็นอย่างอื่นลำบาก
เมื่อถามว่า เหตุการณ์เมื่อวานนี้ มีการตั้งข้อสังเกตว่าเจ้าหน้าที่กทม. และตำรวจเอง ดูมีความเกรงใจผู้รับเหมามากจนเกินไป นายวิโรจน์ กล่าวว่า ตนเข้าใจว่ามีการบ่ายเบี่ยงที่จะไม่ยอมชั่งน้ำหนัก ทั้งตัวรถ และดินที่ขน ถ้าเป็นตำรวจระดับผู้กำกับ และผบ.ชน. 5 ไม่สามารถพิสูจน์ข้อเท็จจริง รวมถึงรักษาพยานวัตถุ และของกลางสำคัญ ที่จะพิสูจน์ว่า บรรทุกน้ำหนักเกินหรือไม่ ถ้ายังขาดศักยภาพที่จะทำในเรื่องดังกล่าว ตนคิดว่า ทางผู้บัญชาการตำรวจ (ผบ.ตร.) ควรพิจารณาว่า ต้องหาคนที่เหมาะสมกว่านี้มาทำงานแทนหรือไม่
“คุณปล่อยให้เขานำดินไปเทที่ไซต์งานได้อย่างไร ผมเข้าใจว่าต้องการกู้ตัวรถ แต่มันคือของกลาง การขนออกไปต้องเอามาเก็บไว้เป็นหลักฐาน ดังนั้น ข้ออ้างที่ติดสติกเกอร์ เพื่อให้จำรถได้ ก็ฟังไม่ขึ้นอยู่ดี ตำรวจทิ้งประเด็นนี้ไม่ได้”นายวิโรจน์ กล่าว
เมื่อถามว่าการดำเนินการจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับตำรวจยศใหญ่หรือไม่นั้น นายวิโรจน์ กล่าวว่า ต้องสอบถามก่อน เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจมาก เพราะมีตำรวจเสียชีวิต 2 นาย ซึ่งมีความเกี่ยวข้องโยงใยมาถึงส่วยสติกเกอร์รถบรรทุก เป็นเรื่องใหญ่มาก เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้เห็นว่า ตำรวจไม่เรียนรู้บทเรียนเลย ถ้ายังมีเรื่องส่วยอยู่ ก็ถือว่าไม่รักศักดิ์ศรีตำรวจจริงๆ เรื่องนี้ควรสอบให้สิ้นข้อสงสัย ยังกล่าวหาใครในตอนนี้ไม่ได้ รวมถึงต้องเอาผิดกับตำรวจที่เปิดกรวยให้นำดินไปทิ้งในไซด์งาน
เมื่อถามว่า ได้มีการพูดคุยกับผู้ว่าราชการ กทม. หรือไม่เนื่องจากดินที่ขนมาเข้ามาในบริเวณเขต กทม. ซึ่งอาจจะมีการเรียกรับผลประโยชน์ นายวิโรจน์ กล่าวว่า เมื่อเช้านี้ทางผู้กำกับสน.พระโขนง บอกว่า ยังไม่มีการจับกุม เรื่องรถบรรทุกน้ำหนักเกินใดๆ แต่ประชาชนก็เห็นรถบรรทุกลักษณะนี้คลุมผ้าใบเข้ามาในพื้นที่ กทม. ก่อนเวลา หรือในเวลากลางคืนก็ยังมีให้เห็น ตนเข้าใจว่า มีการเร่งรัดการก่อสร้างหลังสถานการณ์โควิด-19 แต่กฎหมาย และความสงบเรียบร้อยของประชาชนที่พักอาศัย ก็มีความสำคัญ เมื่อมีเวลาจำกัดก็ต้องกำชับ แต่เหนือสิ่งอื่นใด การนำรถบรรทุกน้ำหนักเกินเข้ามาบนถนนใน กทม. ที่มีลักษณะเป็นหลุมของโครงการเอาสายไฟฟ้าลง ซึ่งพร้อมที่จะทรุดตัวได้ตลอดเวลา เราไม่รู้สึกเลยหรอว่า มันเกิดถี่เกินไปแล้ว
“ผมตั้งคำถามว่า หลุมลึกขนาดไหน ทุกท่านคงคะเนได้อยู่แล้ว ถ้าตกลงไปถึงตายแน่นอน รวมถึงเมื่อวานนี้ ก็มีเรื่องที่น่าเสียใจ ที่คนขับแท็กซี่ ที่ขับมาดีๆ ถูกกฎจราจร ชนกับแผ่นคอนกรีตที่กระดกขึ้นมา คำถามคือใครจะรับผิดชอบ ซึ่งตนเรียกร้องให้ กฟน. รับผิดชอบก่อน และหากรถบรรทุกมีน้ำหนักเกินจริง ก็ต้องไปไล่บี้ อย่าปล่อยให้เข้าของรถแท็กซี่ที่ไม่รู้เรื่อง ต้องไปฟ้องเอาเอง” นายวิโรจน์ กล่าว
เมื่อถามว่า เท่าที่ทำการเปิดโปงเรื่องส่วยสติกเกอร์ดังกล่าว จัดอยู่ในรายชื่อไหน นายวิโรจน์ กล่าวว่า อย่าไปจำลักษณะของสติกเกอร์เลย ทั้งหมดมีสัญลักษณ์ทั้งนั้น บางทีก็เป็นเรื่องของการเคลียร์ชั่วคราว รวมถึงเคลียร์เป็นรายเดือน ตนมองว่าสัญลักษณ์ไม่สำคัญ เพราะคนทำส่วยรายเดียว ก็ทำสติกเกอร์ออกมาหลายแบบ
เมื่อถามว่านายกรัฐมนตรีจะต้องมีการดำเนินการอย่างจริงจังในเรื่องดังกล่าว นายวิโรจน์ กล่าวว่า ผลประโยชน์มันเยอะ และเป็นภัยต่อสาธารณะ เรื่องนี้เป็นวาระสำคัญ อันที่จริงไม่ใช่เพียงเรื่องรถบรรทุกน้ำหนักเกิน แต่เป็นความจำเป็นที่จะต้องมีการปฏิรูปตำรวจ
“แต่พอเราพูดถึงคำว่าปฏิรูปตำรวจทีไร ท่านนายกฯ ก็บอกว่า ให้แก้ไปทีละเรื่อง อย่าใช้คำว่าปฏิรูปเลย เรียกว่าแก้ทีละเรื่องดีกว่า คำว่าสังคายนาก็พูดไม่ได้ จึงต้องส่งสารไปถึงนายกฯ ด้วยความหวังดีว่า การที่จะรักษาโรคอะไร จุดเริ่มต้นต้องยอมรับก่อนว่า เราป่วยจริงๆ และต้องหาหมอให้ถูกโรค ไปหาหมอเฉพาะทางซะ” นายวิโรจน์ กล่าว และว่าวันนี้ไม่ใช่เรื่องน้ำหนักเกิน แต่เป็นปัญหาที่แวดวงตำรวจถูกตั้งข้อสงสัย และขาดความไว้เนื้อเชื่อใจจากภาคประชาชน สุดท้ายก็จะส่งผลต่อความปลอดภัยต่อสาธารณะ หากรถมอเตอร์ไซต์ตกลงไปจะทำอย่างไร