นายกฯ เตรียมมอบนโยบายทูตไทยทั่วโลก “ปานปรีย์” ย้ำทิศทาง “การทูตเศรษฐกิจเชิงรุก” นำประเทศไทยหวนขึ้นสู่ “จอเรดาร์” ของโลกอย่างมีเกียรติภูมิอีกครั้ง
ผู้สื่อข่าวจากทำเนียบรัฐบาลรายงานว่า เมื่อวันที่ 21 พ.ย.66 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง มีกำหนดการในการมอบนโยบายแก่เอกอัครราชทูตไทย กงสุลใหญ่ไทย และผู้ช่วยทูตไทย ฝ่ายพาณิชย์ และฝ่ายการลงทุนทั่วโลก ในการประชุมเอกอัครราชทูตไทย และกงสุลใหญ่ไทยทั่วโลก ประจำปี 2566 ที่กระทรวงการต่างประเทศจัดขึ้น ภายใต้แนวคิด “การทูตเชิงรุกในโลกแบ่งขั้ว” ซึ่งจัดขึ้นต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 ระหว่างวันที่ 20-24 พ.ย.นี้ เพื่อให้ทูตไทยทั่วโลก รับทราบนโยบายด้านการต่างประเทศของรัฐบาล และเป็นเวทีแลกเปลี่ยน-ระดมสมอง กับผู้บริหารกระทรวง เพื่อวางแนวทางการดำเนินงานต่างประเทศในประเด็นสำคัญ และเป็นวาระเร่งด่วนตามนโยบายของรัฐบาล เพื่อเป็นพื้นฐานในการจัดทำแผนงานประจำปี 2567 – 2568 โดยเฉพาะงนโยบายการทูตเศรษฐกิจเชิงรุก, การค้าชายแดน-ข้ามแดน, นโยบายซอฟต์พาวเวอร์, นโยบายแลนด์บริดจ์, การขับเคลื่อนอุตสาหกรรม และการลงทุนสีเขียว การดำเนินการเพื่อบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน เป็นต้น
นอกจากนั้น นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี คณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ จะกล่าวปาฐกถา “ศักยภาพซอฟต์พาวเวอร์ไทยสู่ตลาดโลก” ที่รัฐบาลให้ความสำคัญ และผลักดันสู่สากล
ด้าน นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ย้ำถึงทิศทางและแนวทางขับเคลื่อน “การทูตเศรษฐกิจเชิงรุก” ของรัฐบาล ให้เป็นการต่างประเทศสู่ยุคใหม่ สามารถจับต้องได้ ที่ไม่ใช่ ‘Business as Usual’ เพื่อสร้างความกินดีอยู่ดี และตอบสนองผลประโยชน์ของประเทศและประชาชน
“ไทยต้องมองไปข้างหน้า ติดตามแนวโน้ม Mega-trends สำคัญ ๆ ของโลก เช่น ด้านเทคโนโลยี เศรษฐกิจดิจิทัล เศรษฐกิจสีเขียว เพื่อมุ่งส่งเสริมความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจแบบเบ็ดเสร็จ รวมถึงส่งเสริมการค้าชายแดนและข้ามแดน ลดช่องว่างด้านการพัฒนา รัฐบาลจะสนับสนุนการบูรณาการในอาเซียน เพื่อให้เป็นภูมิภาคที่เป็นที่น่าดึงดูดทางเศรษฐกิจและการลงทุน โดยเฉพาะการเป็น “ฐานการผลิตเดียว” ในระดับโลก เราควรชูจุดแข็งของไทยที่เป็นที่ยอมรับ หรือ Global Objectives and Shared Values และมีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางของประเด็นระหว่างประเทศที่สำคัญ ๆ” นายปานปรีย์ กล่าว
นายปานปรีย์ ยังระบุด้วยว่า การจัดการประชุมทูตไทยทั่วโลกครั้งนี้ เป็นการจัดขึ้นในรอบ 7 ปี จึงเป็นโอกาสสำคัญ ที่จะรับฟังความเห็นจากท่านทูตทุกท่าน เพื่อประโยชน์ที่ประเทศชาติและพี่น้องประชาชนจะได้รับต่อไป และเช่นเดียวกัน ยังหวังว่า นโยบายที่เอกอัครราชทูตไทย และกงสุลใหญ่ไทยทั้งหลายได้รับทราบ จะเป็น “เข็มทิศ” ในการทำงานของทีมประเทศไทย เพื่อนำประเทศไทย กลับขึ้นสู่ “จอเรดาร์” ของโลกอย่างมีเกียรติภูมิอีกครั้ง