วันศุกร์, พฤศจิกายน 22, 2024
spot_img
หน้าแรกHighlightพฤติกรรม“เศรษฐา”ตัวเองก่อเองทั้งสิ้น คืนหนี้เงินกู้ไม่ได้-ให้“ครม.”ชดใช้แทน!
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

พฤติกรรม“เศรษฐา”ตัวเองก่อเองทั้งสิ้น คืนหนี้เงินกู้ไม่ได้-ให้“ครม.”ชดใช้แทน!

“อดีตรองอธิการฯ มธ.” สาวไส้พฤติกรรม “นายกฯเศรษฐา” ล้วนเกิดจากตัวเองทั้งสิ้น โดยเฉพาะเรื่อง “ตั๋วเพื่อไทย” ส่อแวว “ผิดรธน.-ผิดจริยธรรม” อาจถึงขั้นหยุดปฏิบัติหน้าที่ พร้อมชำแหละนโยบาย “ดิจิทัล วอลเล็ต” ท้ากลับ “ครม.เศรษฐา” ถ้าไม่สามารถชำระหนี้เงินกู้ได้ตามกำหนด กล้าประกาศนำทรัพย์สินส่วนตัวของครม.ทุกคนมาชำระหนี้แทนหรือไม่

เมื่อวันที่ 25 พ.ย.66 รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊ก Harirak Sutabutr ระบุข้อความว่า…ปัญหาที่เกิดขึ้นกับตัวนายกรัฐมนตรี จนถึงขนาดเกิดความสั่นคลอนความมั่นคงของตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีของตัวเองอยู่ในขณะนี้ อย่าได้ไปโทษคนอื่น อย่าได้ไปคิดว่าถูกกลั่นแกล้ง เพราะเป็นปัญหาที่นายกรัฐมนตรีก่อขึ้นเองทั้งสิ้น ตั้งแต่ โพสต์ประณาม Hamas อย่างไร้เดียงสา ตั้งแต่หลุดปากแซวผู้สื่อข่าวว่า “หมายถึงนายกรัฐมนตรีคนไหน” ตั้งแต่ทำท่าจุมพิตมือหัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนใหม่ จนทำให้คนคิดว่าเป็นการแสดงความสยบยอม จนถึง เรื่องการแต่งตั้งผู้กำกับใหม่ ที่ถูกเรียกว่า “ตั๋วเพื่อไทย”

กรณีหลังสุดคือกรณีแต่งตั้งผู้กำกับ ดูจะเป็นกรณีที่หนักหนากว่าเพื่อน เพราะการพูดในที่ประชุมพรรคเพื่อไทยวันนั้น จะปฏิเสธหรือแก้ตัวอย่างไร ความหมายที่สื่อออกมาจะมีความหมายเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจาก บอกบรรดา ส.ส.พรรคเพื่อไทยว่า

“ที่ขอตำแหน่งผู้กำกับกันมานั้น พยายามทำให้แล้ว แต่ขอกันมาเยอะเหลือเกิน ทำให้ส่วนใหญ่ต้องผิดหวัง แต่ที่สมหวังก็มีมาก ซึ่งก็ทำให้ได้เพียงเท่านี้ อย่าได้ต่อว่ากันภายหลังเลย”

นายกรัฐมนตรีแก้ตัวกับนักข่าวว่า ที่พูดไม่ได้หมายถึง “คน” แต่หมายถึง “ความ” เรื่องผิดหวังก็หมายถึง เขาทำงานไม่ดีจนผิดหวัง ทำให้คนแซวกันทั้งเมืองว่า สีข้างของนายกรัฐมนตรีคงถลอกไปหมดแล้วทั้ง 2 ข้าง

ที่ว่าการพูดครั้งนี้อาจมีผลที่หนักหนากว่าครั้งก่อนๆ เพราะ อาจเจอข้อหา ผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 185 และ ข้อหาผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรง อาจถึงกับต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ก็เป็นได้

จะอย่างไรก็ตาม หลังจากเรื่องดังกล่าว นายกรัฐมนตรีก็ออกมานั่งเต๊ะท่าอยู่ตรงบันไดหน้าทำเนียบฯ โชว์ถุงเท้าแดง ให้ทีมงานถ่ายรูป ถ่ายคลิป ในใจน่าจะยังคงท่องคาถาบทเดิมต่อไป นั่นคือ

“ประเทศไทยกำลังอยู่ในภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจ” และ “การแจกเงินตามนโยบาย digital wallet จะนำพาประเทศให้พ้นจากวิกฤตไปได้”

มิใยที่ ผู้รู้ทั้งหลาย ออกมาชี้ว่า สภาพเศรษฐกิจของประเทศไม่ใช่ว่าจะดีนัก แต่ก็ยังห่างไกลจากคำว่า วิกฤตอยู่มาก เมื่อเลขาธิการสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติออกมาแถลงภาวะเศรษฐกิจของประเทศว่า ในไตรมาสที่ 3 GDP เติบโต 1.5% นายกรัฐมนตรีก็รีบวิจารณ์ทันทีว่า GDP มีอัตราการเติบโตที่ต่ำจนน่าตกใจ แสดงว่านายกรัฐมนตรีไม่ได้ดูรายละเอียดอะไรเลย พยายามจะให้ประเทศอยู่ในภาวะวิกฤตให้ได้

หากลงไปดูรายละเอียดที่เลขาธิการสภาพัฒน์แถลงก็จะพบว่า ที่ GDP โต 1.5% มีส่วนใดบ้างที่โตมาก ส่วนใดโตน้อย ส่วนใดติดลบ เพราะตัวเลข GDP ประกอบด้วย

GDP = การบริโภคของเอกชน + การลงทุนของธุรกิจ + รายจ่ายของรัฐบาล + การส่งออกสุธิ (ส่งออก-นำเข้า)

รายงานของสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เกี่ยวกับตัวเลขการเติบโตของ GDP มีดังนี้

GDP = + 1.5

การบริโภคเอกชน = + 8.1 การลงทุนรวม = + 1.5 (เอกชน +3.1 4 ภาครัฐ -2.6)

การส่งออกบริการ = +23.1 การส่งออกสินค้า = -3.1 การอุปโภคภาครัฐบาล = – 4.9

จะเห็นว่าส่วนประกอบของ GDP ส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นมาก โดยเฉพาะการบริโภคเอกชน และการส่งออกบริการ ที่ติดลบก็คือการส่งออกสินค้าซึ่งเข้าใจได้ เพราะโลกอยู่ในภาวะสงคราม ทั้ง Ukraine และ Palestine แต่ที่ติดลบมากที่สุดคือ การลงทุนภาครัฐบาลที่ติดลบ 2.6% และการอุปโภคของรัฐบาลติดลบ 4.9%

ดังนั้น ที่ GDP โตเพียง 1.5% ในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ก็ไม่ใช่เป็นเพราะใครแต่เป็นเพราะรัฐบาลชุดนี้นั่นเอง เพราะปกติปีงบประมาณจะเริ่มต้นในเดือนตุลาคม ไม่ใช่เดือนมกราคม พ.ร.บ งบประมาณปี 2567 จะต้องได้รับการอนุมัติจาก ครม.และผ่านสภาฯ ภายในเดือนกันยายน 2566 เพื่อจะเริ่มใช้ได้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2566 เป็นต้นไป แต่ปีนี้ ด้วยเหตุผลใดก็ไม่ทราบ รัฐบาลกลับยังไม่พิจารณา พ.ร.บ.งบประมาณ เห็นว่าจะนำเข้าสภาฯในเดือนกุมภาพันธ์ 2567 และเริ่มการใช้จ่ายได้ในเดือนเมษายน 2567 การใช้จ่ายของรัฐบาลในไตรมาสที่ 3 นี้จึงเป็นการใช้ไปพลางก่อน ทำได้เฉพาะงบดำเนินการ และงบผูกพัน และใช้ได้ในวงเงินไม่มากไปกว่าตัวเลขในปีที่แล้ว งบประมาณรายการใหม่ และการลงทุนโครงการใหม่ ต้องรอจนถึงเดือนเมษายน 2567 จึงจะเริ่มดำเนินการได้

น่าขำที่นายกรัฐมนตรีกลับบอกว่า ตัวเลขการเติบโตของ GDP “ต่ำจนน่าตกใจ” โดยที่ไม่รู้เลยว่า เป็นเพราะรัฐบาลเอง อาจเป็นเพราะสมองของนายกรัฐมนตรี สั่งการอยู่ตลอดเวลาว่า ประเทศต้องกำลังอยู่ในภาวะวิกฤต จนอยู่ในจิตใต้สำนึกไปแล้ว ทำให้นายกรัฐมนตรีเชื่อเช่นนั้นจริงๆ และยังคงพูดว่า

“นโยบาย digital wallet จะนำพาประเทศให้ผ่านพ้นวิกฤตไปได้อย่างสง่างาม”

อย่างไรก็ตาม การแจกเงินตามนโยบาย digital wallet จะมีผลคือ กระตุ้นการบริโภคของเอกชน ซึ่งก็ยังไม่ได้กระตุ้นก็เพิ่มขึ้นถึง 8.1% อยู่แล้ว และจะเกิดผลในระยะสั้นๆ นักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำของประเทศต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า การแจกเงิน 10,000 บาท ไม่มีทางจะทำให้เกินการหมุนของเศรษฐกิจเกินกว่า 1 รอบ และมีโอกาสสูงที่จะหมุนต่ำกว่า 1 รอบด้วยซ้ำ จึงมองไม่เห็นว่าการแจกเงินรวมกันแล้ว 500,000 ล้านบาท ซึ่งจะต้องไปกู้มาทั้งหมด นอกจากจะทำให้เกิดการบริโภคของเอกชนเพิ่มขึ้นแล้ว จะก่อให้เกิดการลงทุนและเกิดผลต่อระบบเศรษฐกิจในระยะยาวอย่างที่นายกรัฐมนตรี และคนในพรรคเพื่อไทยพร่ำบอกได้อย่างไร

อยากถามนายกรัฐมนตรีและคนในพรรคเพื่อไทยที่สนับสนุนนโยบาย digital wallet กันอย่างพร้อมเพรียง รวมทั้ง ครม.ทุกคนว่า หากมีกฎหมายว่า การกู้เงินเพื่อนำมาแจกเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจแบบนี้ หากไม่สามารถชำระหนี้ได้หมดภายในช่วงเวลาที่รัฐบาลยังดำรงอยู่ ให้นำทรัพย์สินเท่าที่มีอยู่ทั้งหมดของทุกคนในรัฐบาลมาร่วมรับผิดชอบ เพื่อช่วยชำระหนี้ให้ประเทศชาติ พวกท่านจะยังคงผลักดันนโยบายนี้ต่อไปหรือไม่

คำตอบเป็นอย่างไรคงไม่ต้องบอก เพราะพวกท่านทั้งหมดต่างก็รู้ดีอยู่แก่ใจ ใช่หรือไม่

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img