โลกออนไลน์ไม่ใช่พื้นที่สีเทาอีกต่อไป “กกต.” ผนึกกำลังโซเชียลแพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่ ตรวจเข้มหาเสียงอิเล็กทรอนิกส์ นายแสวง บุญมี เตือนประชาชนและผู้สนับสนุน อย่าตกเป็นเครื่องมือการเมืองด้วยการแชร์ข้อมูลเท็จ เผยโทษหนักจำคุกสูงสุด 10 ปี และอาจถูกตัดสิทธิทางการเมืองนานถึง 2 ทศวรรษ ขณะที่ภาพรวมสมัคร สส.เขตวันแรกยังราบรื่น
เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 27 ธ.ค.2568 นายณรงค์ กลั่นวารินทร์ ประธานกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) พร้อมด้วย นายแสวง บุญมี เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง เดินทางไปตรวจเยี่ยมและสังเกตการณ์ การเตรียมการรับสมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ และบุคคลที่พรรคการเมืองเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี ที่ห้องประชุมวายุภักษ์ 2-4 ชั้น 4 โรงแรมเซ็นทารา ไลฟ์ ศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพมหานคร
ทั้งนี้ ขั้นตอนการรับสมัครจะแบ่งออกเป็น 5 จุด โดยจุดที่ 1 ตรวจเช็คเอกสาร จุดที่ 2 จับสลากหมายเลข พรรคการเมืองสำหรับใช้หาเสียงและลงคะแนน จุดที่ 3 ชำระเงินค่าธรรมเนียมการสมัคร จุดที่ 4 ออกใบรับสมัคร และ จุดที่ 5 ตรวจรับเอกสารนโยบายการหาเสียงเลือกตั้งของพรรคการเมือง
นายแสวง ให้สัมภาษณ์ว่า ภาพรวมวันแรกของการเปิดรับสมัครผู้สมัครรับเลือกตั้ง สส.แบบแบ่งเขตทั่วประเทศ ทั้ง 400 เขต ไม่มีเหตุผิดปกติอะไร ส่วนการเตรียมความพร้อมการรับสมัคร สส.แบบบัญชีรายชื่อ ในวันที่ 28 ธ.ค. ทางสำนักงาน กกต. ได้เตรียม ทั้งในส่วนของเจ้าหน้าที่ที่จะรับสมัคร และพรรคการเมือง โดยมีการซักซ้อมว่า ขั้นตอนเอกสารที่จะใช้สมัครมีอะไรบ้าง ซึ่งมีบางพรรคการเมืองทยอยส่งมาให้ กกต. ตรวจสอบไปบ้างแล้ว และจะมีการตรวจสอบเอกสารที่ใช้ประกอบในช่วงเช้าของวันพรุ่งนี้ จนเสร็จ โดยจะตรวจเฉพาะพรรคการเมืองที่มาลงทะเบียนก่อนเวลา 8.30 น. ถ้ามีเอกสารครบถ้วนก็จะให้มาจับสลากได้ ทั้งนี้คิดว่า ภาคเช้าคงใช้เวลาไม่นาน และการรับสมัครคงเป็นไปด้วยความเรียบร้อย
เมื่อถามว่า มีการนำบทเรียนของการรับสมัครครั้งที่แล้ว มาแก้ไขปัญหาอย่างไรหรือไม่ นายแสวง กล่าวว่า ในรอบที่แล้วมีความไม่เรียบร้อยบางส่วน ในเรื่องของการให้เบอร์ผู้สมัคร ทำให้การรับสมัครล่าช้า พรรคเสียเวลาในการที่จะนำเบอร์ไปหาเสียง ครั้งนี้จึงได้มีการแก้ไขในจุดนี้แล้ว หมายความว่า ถ้าเราตรวจสอบ พรรคที่มีเอกสารครบถ้วนแล้ว และมาจับสลาก ถ้าจับได้เบอร์อะไร ก็จะใช้เบอร์นั้นหาเสียง
นายแสวง ยังกล่าวว่า ตอนนี้เข้าสู่โหมดการเลือกตั้งแบบเต็มตัวและมีการออกเสียงประชามติควบคู่ไปด้วย การที่จะทำให้การเลือกตั้งเรียบร้อย ไม่ได้อยู่ที่ กกต. เท่านั้น แต่อยู่ที่ผู้สมัคร ผู้สนับสนุนด้วย หากมีการใส่ร้ายทางโซเชียลมีเดีย ซึ่งผิดกฎหมาย และ กกต. จะเข้มงวดขึ้น เรามีศูนย์ตรวจสอบการหาเสียงทางอิเล็กทรอนิกส์ จึงย้ำว่าจะมีการตรวจสอบอย่างเข้มข้นไม่ว่าจะเป็นผู้สมัคร ผู้สนับสนุนหรือประชาชน จะไปใส่ร้ายไม่ได้ อำนาจของ กกต. ตรงนี้คือสามารถลบข้อความที่ใส่ร้ายเหล่านั้นได้ เพื่อให้ความเป็นธรรมกับทุกพรรคการเมือง ให้ความเป็นธรรมกับผู้สมัครทุกพรรคการเมือง ไม่ให้ถูกใส่ร้ายโดยไม่ต้องรอให้มีผู้มาร้องเรียน หรือผู้สมัครที่เห็นว่าเสียหายจากการนี้ก็สามารถมายื่นต่อ กกต. ได้
เลขาธิการกกต. กล่าวต่อว่า ในส่วนของ กกต. ก็จะตรวจสอบในแต่ละวัน ถ้าโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ว่ามีการใส่ร้าย เราจะดำเนินการ 1.การคุ้มครองผู้สมัครด้วยกันลบข้อความนั้นออก 2.ตามหาว่าใครเป็นคนทำ เป็นคนโพสต์ ก็จะมีความผิดต้องดำเนินคดี ดังนั้นขณะนี้ทาง กกต. ได้มีการขอความร่วมมือไปยัง TikTok, Facebook, LINE มาทำความตกลงร่วมกันว่า เราจะดำเนินการเรื่องนี้ ออกมาให้เกิดประสิทธิภาพอย่างไร เพื่อทำให้การแข่งขันเป็นธรรม เป็นไปด้วยความเรียบร้อย
“อยากฝากถึงประชาชนจะโพสต์อะไร ที่เป็นการผิดกฎหมาย มีโทษทั้งจำทั้งปรับ ขอให้ระมัดระวัง ตามมาตรา 73(5) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง สส. 2561 มีโทษตามมาตรา 159 ต้องระหว่างโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งถึง 10 ปี ปรับตั้งแต่ 20,000 ถึง 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับและให้ศาล สั่งเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้ง ของผู้นั้นกำหนด 20 ปี ดังนั้นโทษหนักกว่าการหมิ่นประมาท” นายแสวง กล่าว
เมื่อถามว่า การทำประชามติ หากประชาชนไม่ได้ไปใช้สิทธิ์ออกเสียง จะทำให้เสียสิทธิ์เหมือนการไม่ไปลงคะแนนเลือกตั้งหรือไม่ เลขาธิการ กกต. กล่าวว่า ทั้งตามกฎหมายเลือกตั้งและกฎหมายออกเสียงประชามติ ถ้าไม่ไปใช้สิทธิ์ก็จะเสียสิทธิ์ทั้ง 2 กฏหมาย เพียงแต่เงื่อนไขในการไปแจ้งเหตุ แตกต่างกันเล็กน้อย โดยกรณีการไม่ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง สส. สามารถแจ้งเหตุการณ์ไม่ไปใช้สิทธิ์ได้ ก่อน 7 และหลัง 7 วันหลังการเลือกตั้ง ส่วนการออกเสียงประชามติ หลังมีการประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์แล้ว สามารถแจ้งเหตุได้เลย และเมื่อถึงวันออกเสียงหากไม่ไปก็ยังมีเวลา 7 วันในการแจ้งเหตุ



















